Monday, October 29, 2012

ใครโง่กว่ากัน



มีชายสองคนพี่น้อง คนพี่ชื่อดำเป็นคนขยันทำมาหากิน เงินทองที่หามาได้ก็รู้จักใช้จ่าย
จนมีเงินเก็บอยู่บ้าง ส่วนคนน้องชื่อแดงเป็นคนเกียจคร้าน ไม่เอาใจใส่ต่อการทำงาน ได้เงินมา
ก็ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ไม่มีเงินเก็บหอมรอมริบ คอยแต่เบียดเบียนนายดำผู้พี่ ยิ่งไปกว่านั้นถ้านายดำ
เผลอเมื่อไหร่ เป็นอันต้องถูกนายแดงขโมยเงินเสมอ ไม่ว่านายดำจะซุกซ่อนเงินไว้ตรงไหน

อยู่มาวันหนึ่งนายดำต้องออกไปทำธุระนอกบ้าน จึงคิดหาวิธีที่จะซ่อนเงินที่มีอยู่หนึ่งพันบาท
ให้มิดชิดที่สุด คิดอยู่นานก็หาที่ซ่อนไม่ได้ จะเอาซ่อนตรงไหนๆ ก็เกรงว่านายแดงจะมาขโมยไป

ในที่สุดก็ตัดสินใจขุดหลุมฝังซ่อนไว้ดีกว่า จึงลงจากเรือนคว้าจอบใส่บ่าเดินออกหลังบ้าน
แล้วขุดหลุมเอาเงินห่อกระดาษใส่ลงก้นหลุม เอาดินกลบและดูความเรียบร้อย ดูไปดูมานายดำก็คิดว่า
"นี่ถ้านายแดงมาเห็นรอยเรากลบ หลุมไว้อย่างนี้ คงต้องรู้ว่าเราฝังเงินเอาไว้แน่"

พลันความคิดของนายดำก็เกิดขึ้น เอาอย่างนี้ดีกว่าเราเขียนป้ายมาปักไว้ที่หลุมนี้ว่า
"เงินหนึ่งพันบาทของนายดำ ไม่ได้อยู่ในหลุมนี้" นายแดงก็คงจะไม่สงสัยเป็นแน่
คิดแล้วนายดำก็จัดการเขียนป้ายดังกล่าวมาปักไว้ที่หลุม เสร็จแล้วก็จัดแจงแต่งตัวออกจากบ้านไป

ฝ่ายนายแดงหลังจากเที่ยวเตร็ดเตร่อยู่หลายวัน จนเงินหมดจึงกลับบ้าน ไม่พบพี่ชาย
จึงได้โอกาสเหมาะเที่ยวค้นหาเงิน เชื่อว่าพี่ชายจะต้องซ่อนไว้ที่ไหนซักแห่งแน่ ค้นหาบนบ้านอยู่นาน
ก็ไม่พบ จึงเดินลงจากเรือนไปค้นตามหลังบ้าน ก็พบป้ายหนึ่งเขียนไว้ว่า
"เงินหนึ่งพันบาทของนายดำไม่ได้ อยู่ในหลุมนี้"

เมื่อนายแดงอ่านป้ายดูแล้วก็เกิดความสงสัยว่า เมื่อไม่มีเงินแล้วจะเขียนป้ายบอกไว้ทำไม
จึงลงมือขุดดู ก็พบเงินที่ซ่อนไว้ เมื่อได้เงินมาแล้วนายแดงเกิดนึกขึ้นได้ว่า ถ้าพี่ชายกลับมาเห็น
เงินในหลุมหายไปก็คงโทษเราแน่ อย่ากระนั้นเลยเราเขียนป้ายปักไว้ดีกว่า เมื่อพี่ชายมาเห็นจะได้
คิดว่าเราไม่ได้เอาไป คิดดังนั้นแล้วนายแดงก็จัดการเขียนป้ายมาปักไว้ที่หลุมว่า
"เงินหนึ่งพันบาทในหลุมนี้นายแดง ไม่ได้เอาไป"

แหล่งที่มา   www.momyweb.com

Friday, October 26, 2012

เด็กโง่กับปลาตัวโต


           เด็กชายคนหนึ่งชอบไปนั่งเล่นอยู่ที่ริมแม่น้ำ เฝ้าดูชาวประมงตกปลาเป็นประจำทุกวัน
วันหนึ่ง ชาวประมงได้มอบปลาตัวโตให้แก่เด็กชายด้วยความเอ็นดู

            เด็กชายจึงถอดเสื้อแล้วหอบปลาตัวโตนำกลับไปบ้านด้วยความดีใจ หวังจะให้พ่อแม่ปรุงเป็นอาหารให้เอร็ดอร่อย 

            แต่ระหว่างทางนั้น เด็กชายเห็นปลาดิ้นอยู่ตลอดเวลาจึงคิดในใจว่า

           “สงสัยเจ้าปลาคงจะหิวน้ำเป็นแน่ถ้าเราไม่ให้มันได้กินน้ำ เดี๋ยวมันจะตายเสียก่อนถึงบ้าน พ่อกับแม่ก็คงจะต่อว่าเราเป็นแน่

            เมื่อคิดได้ดังนั้น เด็กชายก็เดินไปที่ริมแม่น้ำแล้วแก้ห่อเสื้อออกพลางปล่อยปลาลงสู่แม่น้ำ
 
           “ลงไปกินน้ำให้อิ่มนะ แล้วเดี๋ยวค่อยขึ้นมาใหม่

             เด็กชายกระทำเช่นนั้นแล้วก็นั่งรออยู่ ส่วนปลาตัวโตนั้นเมื่อลงสู่น้ำได้ก็รีบว่ายหายไปทันที
เด็กชายนั่งรออยู่นานแสนนาน จนกระทั่งเย็นย่ำก็ไม่เห็นปลาตัวโตโผล่ขึ้นมาอีกเลย
 
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : 
การปล่อยโอกาสงามๆ ให้หลุดลอยไปนั้นย่อมยากที่จะหวนกลับคืนมาได้อีก

แหล่งที่มา    www.fable.deksiam.in.th


Thursday, October 25, 2012

แค่ฟางเส้นเดียว


ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ในชนบทแห่งหนึ่ง มีชาวนาคนหนึ่งเป็นคนน่ารักและมีนิสัยโอบอ้อมอารี วันหนึ่งในขณะที่เขาเดินกลับบ้าน เขาเดินสะดุดก้อนหินล้มลง เขาคว้าเศษฟางติดมือมาหนึ่งเส้น

เขาเดินทางต่อมาและพบพ่อค้าเร่คนหนึ่ง หน้าตาของพ่อค้าดูอิดโรยด้วยความกระหายน้ำจนเกือบจะเป็นลม เขารู้สึกสงสารพ่อค้ามาก จึงมอบส้มทั้งสามใบให้พ่อค้าได้รับประทานเพื่อดับความกระหายน้ำ พ่อค้ารู้สึกประทับใจในน้ำใจของชาวนามากจึงได้มอบผ้าให้กับเขาสามผืน 

เมื่อใกล้จะถึงบ้านเขาพบหญิงสาวแปลกหน้า แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่มีรอยปะไปทั่วตัว เขารู้สึกสงสารหญิงคนนั้นจึงมอบผ้าสามผืนที่เขาได้มาแก่หญิงผู้ยากจนคนนั้น เขาไม่ทราบว่าอันที่จริงแล้วหญิงสาวคนนั้นก็คือเจ้าหญิงที่ปลอมตัวมา เพื่อสืบหาคนที่มีน้ำใจดี จะได้ประทานรางวัลให้กับคน ๆ นั้น 


เจ้าหญิงได้ประทานเงินทองให้กับเขามากมาย ชายชาวนานำเงินนั้นมาซื้อที่ดินได้หลายแปลง และด้วยความใจกว้าง เขาแบ่งที่ดินให้กับทุก ๆ คนในหมู่บ้านได้ทำมาหากินกันด้วยความขยัน มันจึงเกิดผลผลิตมากมาย หมู่บ้านนี้จึงกลายเป็นหมู่บ้านที่ร่ำรวย และจุดเริ่มต้นแห่งความร่ำรวยนี้ก็มาจากฟางเส้นเดียว

ข้อคิด : หลาย ๆ ครั้งความดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เป็นบ่อเกิดแห่งคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ ความมีน้ำใจ ความเห็นใจที่ดูเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนหนึ่ง ก็อาจจะให้ผลดีที่เราคิดไม่ถึงเช่นกัน คำพูดที่สร้างสรรค์เพียงคำเดียวอาจจะเสริมสร้างสังคมและให้กำลังใจแก่คนที่อยู่รอบข้างได้มากมาย และเช่นเดียวกันชีวิตอันงดงามของคนบางคนก็อาจถูกทำลายอย่างไม่มีชิ้นดีด้วยคำพูดหรือการกระทำ ที่คนที่พูดหรือทำนั้นอาจจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย 

แหล่งที่มา   catholic.egat.com

Tuesday, October 23, 2012

ล่อละครสัตว์


โม่..เป็น ล่อที่โดดเดี่ยว แม้ว่ามันจะอาศัยอยู่ในฟาร์มที่มีม้าและลาหลายตัว แต่ไม่มีใครเล่นกับโม่เลย โม่เป็นล่อ ครึ่งม้าครึ่งลา เมื่อไรที่มันพยายามจะเข้าไปเล่นกับม้า ม้าก็จะไล่

เธอไม่ต้องมาเล่นกับพวกเรา เพราะเธอไม่ใช่ม้า

โม่พยายามไปเล่นชักเย่อกับลา โม่ก็จะดึงแรงจนลาก้นกระแทก ลาก็จะไล่อีก  

เธอมันตัวใหญ่เกินกว่าจะมาเล่นกับพวกเรา

โม่เดินหางตกหูตก น้ำตาไหลอาบแก้ม หลบไปนั่งพักอยู่ตัวเดียว

เฮ้...ดูซิ ใครพยายามทำให้ฉันจมน้ำ 
คิด..จิ้งหรีดตัวใหญ่สีดำโวยวาย เมื่อน้ำตาของโม่หยดใส่หัวคิด

ขอโทษจ้ะ ฉันเห็นเธอจริงๆโม่บอก  
ทำไมหูเธอตกแบบนี้ล่ะ เกิดอะไรขึ้นหรือคิดสงสัย
ม้าเขาไม่ยอมเล่นกับฉัน เพราะฉันครึ่งหนึ่งเป็นลา ส่วนลาก็ไม่ยอมเล่นกับฉัน เพราะครึ่งหนึ่งของฉันเป็นม้า ฉันครึ่งม้าครึ่งลา ฉันไม่ได้เป็นทั้งม้าและลา โม่เล่าให้คิดฟัง
โอ้...แน่นอน เพราะเธอคือล่อ เธอไม่จำเป็นที่จะต้องเป็ฯม้าหรือเป็นลาเลย คิดปลอบใจโม่ 

หลังจากนั้น เมื่อโม่เห็นม้ากระโดดเต้นรำ โม่ก็มาลองหัดเต้นด้วยตัวเองบ้าง โม่สามารถยกขาหน้าทั้งสอง โดยใช้ขาหลังยืนแทน ม้ามาเห็นโม่จึงบอกโม่ว่า 

อย่าพยายามทำให้เหมือนม้าเลย เพราะหูเธอยาวเกินไป  

แต่โม่ไม่สนใจ มันพยายามเต้นท่าต่างๆ มากขึ้น

วันหนึ่งรถของคณะละครสัตว์เข้ามาในฟาร์ม เจ้าของคณะละครสัตว์ต้องการมาคิดเลือกม้าหรือลาที่ดีที่สุดเพื่อแสดงร่วมกับคณะละครสัตว

บรรดาม้าและลาต่างตื่นเต้น ทุกตัวอยากได้รับการคัดเลือก ม้าและลาแสดงวิ่ง เต้นรอบๆ สนาม พยายามชูคอให้สูง หางกวัดแกว่งไปมาอย่างมีจังหวะ

โม่เฝ้าดูอยู่ข้างๆ โม่ไม่รู้ว่าคณะละครสัตว์ไม่ได้ต้องการล่อ ซึ่งโม่ก็ไม่ได้สนใจ ในที่สุดถึงคราวที่ม้าจะต้องวิ่งข้ามเครื่องกีดขวาง ม้ามัวแต่หันหลังไปดูโม่ด้วยท่าอวดเก่ง โดยที่ไม่ได้มองเครื่องกีดขวางข้างหน้า ม้าหน้าคะมำตกลงไปในโคลน และลุกไม่ขึ้น โม่ใช้ปากดึงหางม้าขึ้นจากโคลน ด้วยความยากลำบาก ในที่สุดม้าก็ปลอดภัย

ขอบใจนะโม่
ม้าพูดงึมงำ ก่อนที่จะไปแอบหลังโรงนา

จ้าของคณะละครสัตว์เห็นเหตุการณ์โดยตลอด จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาคิดว่าใครเหมาะสมที่สุด 
 
เธออยากเข้าร่วมคณะละครสัตว์กับเราไหมเขาหันไปถามโม่

แน่นอนโม่ตอบอย่างมีความสุข

คติสอนใจ เมื่อใครๆ หัวเราะความปรารถนาของเรา อย่าสนใจ เพราะทุกสิ่งทุดอย่างเป็นไปได้เสมอ” 

เค้าโครงเรื่องจากนิทานนานาชาติ
แปลและเรียบเรียงโดย"ป้าฉอ"
แหล่งที่มา  www.kidddelight.com