ยังมีเสือหนุ่มตัวหนึ่งดุร้ายมาก วันหนึ่งออกไปหากินตามปกติ ขณะที่มันสอดส่ายสายตาหาเหยื่ออยู่นั้น มันก็เห็นช้างตัวหนึ่งกำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ จึงวางแผนที่จะจับช้างให้ได้ แล้วเสือก็เดินตรงไปหาช้างทันที
ฝ่ายช้างเมื่อเห็นเสือเดินตรงมาหา จึงทำใจดีสู้เสือ แล้วพูดกับเสือไปว่า "สวัสดี เจ้าเสือผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าจะไปไหนหรือ" "ฉันก็จะมาจับเจ้าไปเป็นอาหารนะสิ" เสือตอบ "ช้าก่อน เจ้าคงไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นอิสระแล้ว ฉันเป็นเชลยอยู่" ช้างพูด เสือตอบว่า "อย่ามาหลอกกันเลย เจ้าตัวใหญ่ออกอย่างนี้ ใครจะกล้ามาจับเจ้าเป็นเชลยได้ นอกจากฉันเจ้าป่าผู้ยิ่งใหญ่" ช้างตอบว่า "นี่ไงเห็นมั้ย ขาของฉันถูกล่ามโซ่อยู่กับต้นไม้ก็เพราะฉันตกเป็นเชลยของมนุษย์" ช้างพูดพร้อมยกขาที่ถูกล่ามโซ่ให้เสือดู
"อะไรก้ันมนุษย์ตัวเล็กนิดเดียว ยังจับเจ้าล่ามโซ่ได้หรือ" เสือถามอย่างสงสัย "ก็ใช่นะซิ มนุษย์ตัวเล็กๆ นี่แหละ ถึงจะไม่มีเขี้ยวเล็บ ไม่มีเขาหรืองา แต่มนุษย์มีปัญญา" ช้างตอบยืนยัน เสือพอได้ยินช้างพูดถึงคำว่า "ปัญญา" ก็สนใจ จึงถามช้างว่า "แล้วปัญญามันวิเศษขนาดไหนเชียว ถ้าฉันเจอละก็จะจับกินเสียให้เข็ด"
"ปัญญาของมนุษย์ก็อยู่ที่ตัวมนุษย์สิเจ้าเสือเอ๋ย ถ้าเจ้าอยากเห็นจริงๆ ละก็ รีบแก้โซ่ที่ผูกขาฉันออกสิ แล้วฉันจะพาไปดู" "ได้เลย" เสือพูด แล้วตรงเข้าไปแก้โซ่ที่ผูกขาช้างออก แล้วช้างก็เดินนำหน้าเสือ มุ่งสู่บ้านมนุษย์ทันที
เมื่อถึงบ้านมนุษย์แล้ว ช้างก็ตะโกนเรียกมนุษย์ให้ออกมาพบกันข้างนอก ฝ่ายมนุษย์ไม่รู้ว่าใครมาเรียกก็ออกมาจากบ้านโดยที่ไม่ได้ระวังตัว ทันใดนั้นเสือซึ่งรอจังหวะอยู่แล้ว จึงตะครุบตัวมนุษย์ไว้ในกรงเล็บอย่างง่ายดาย
มันหัวเราะเยาะด้วยเสียงอันดัง ที่สามารถเอาชนะมนุษย์ผู้พิชิตช้างได้ เสือจึงหันไปพูดกับช้างว่า "เจ้าช้าง ไหนเจ้าว่ามนุษย์มีปัญญาเก่งกล้า ยังไม่ทันได้ต่อสู้เลย ฉันก็จับมันได้แล้ว และฉันจะกินมันเสียเดี๋ยวนี้แหละ"
มนุษย์เมื่อได้ยินเสือพูดอวดตัวเช่นนั้น ก็ใช้ปัญญาของตนต่อสู้กับเสือทันที โดยพูดกับเสือว่า "ช้าก่อนเจ้าเสือ ถ้าเจ้ากินฉันตอนนี้ เจ้าก็จะไม่มีโอกาสเห็นตัวปัญญาของฉันเลย" เสือได้ยินดังนั้นก็หยุดชะงัก แล้วถามมนุษย์ไปว่า
"ไหนละเจ้าตัวปัญญาของเจ้า ก่อนตายเอาออกมาอวดฉันหน่อยเป็นไง" "ได้ซิ ถ้าเจ้าอยากดู แต่ตัวปัญญาของฉันอยู่ในบ้าน ถ้าอยากเห็น เจ้าต้องปล่อยฉันก่อน ฉันจะได้จูงมัีนออกมาให้เจ้าดู"
ฝ่ายเสืออยากเห็นตัวปัญญา จึงหลงกลปล่อยมนุษย์ไป มนุษย์เมื่อถูกปล่อยตัวเป็นอิสระแล้ว ก็วางแผนจัดการกับเสือทันที โดยพูดขู่เสือไปว่า "ระวังนะเจ้าเสือ ตัวปัญญาของฉันมันตกใจง่าย ถ้ามันเห็นเจ้าเข้า มันจะวิ่งหนีเข้าบ้าน แล้วจะไม่ยอมออกมาอีกเป็นอันขาด" "แล้วเจ้าจะให้ฉันทำอย่างไร" เสือถาม "ไม่ยาก เจ้ามาให้ฉันจับมัดไว้กับต้นไม้เสียก็สิ้นเรื่อง" มนุษย์เสนอความคิด "ตกลง" เสือตอบ
มนุษย์ก็จัดการมัดเสือไว้กับต้นไม้ แล้วก็เดินเข้าไป และออกมาพร้อมกับหวายในมือ เสือเห็นมนุษย์ถือหวายออกมาก็แปลกใจ จึงถามว่า "ไหนละตัวปัญญาของเจ้า ไม่เห็นจูงออกมาให้ฉันดู" มนุษย์ชูหวายขึ้นแล้วพูดว่า "นี่ไงละตัวปัญญาของฉัน" "นั่นมันหวายจะเป็นตัวปัญญาได้อย่างไร" เสือแย้ง "นี่แหละตัว 'ปัญญา' ของฉัน เจ้ามันอวดเก่งนัก ฉันจะสั่งสอนให้รู้สำนึกเสียบ้าง"
พอมนุษย์พูดขาดคำ ก็หวดเสือด้วยหวายอย่างมันมือ จนนับครั้งไม่ถ้วน ฝ่ายช้างที่ยืนดูอยู่ใกล้ๆ ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ก็หัวเราะด้วยความชอบใจเพราะตัวปัญญาของมนุษย์ มนุษย์ไม่เพียงรอดชีวิต มันเองก็รอดชีวิตด้วย ช้างหัวเราะใหญ่ หัวเราะเสียจนน้ำตาไหลพรากอาบแก้ม ดวงตาของช้างเลยเล็กลง เล็กลง เหลือเท่าที่เห็นจนทุกวันนี้
ฝ่ายเสือเมื่อถูกโบยด้วยหวายก็เจ็บปวดแสนสาหัส ดิ้นทุรนทุรายไปมาจนเชือกขาด มันจึงวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต จนถึงบัดนี้เสือก็ยังไม่รู้ว่าปัญญาของมนุษย์คืออะไร เสือเดินโซซัดโซเซ ไปขอความช่วยเหลือจากสัตว์ในป่าให้ช่วยรักษารอยแผลจากการถูกโบยด้วยหวาย แต่ไม่มีสัตว์ใดช่วยเหลือเจ้าเสือ มีแต่จะสมน้ำหน้า เสือจึงได้หลบหน้าสัตว์อื่นๆ ฉะนั้นตามร่างกายของเสือเป็นรอยหวายที่ถูกหวดจากมนุษย์ผู้มีปัญญา นับตั้งแต่นั้นมาเสือจึงมีลวดลายบนตัวของมันอย่างที่เห็นทุกวันนี้
ผู้แต่ง : พี่อ้อย
แหล่งที่มาของข้อมูล : อุดมศานต์
ปีที่ 87 เดือนมิถุนายน 2550/2007
No comments:
Post a Comment