กาลครั้งหนึ่ง มีชาวนาครอบครัวหนึ่งเลี้ยงหมูและหมาไว้ที่บ้าน ครอบครัวชาวนาให้หมูและหมาไปไถนา โดยให้หมาตะกุยตะกายดิน หมูก็ให้มันคุ้ยดินให้ร่วน พอไปถึงนา หมูเริ่มคุ้ยดิน หมานอนอยู่เฉย ๆ ไม่ช่วยทำอะไรเลย หมูมันก็เริ่มคุ้ยดินจนเสร็จ ส่วนหมาวิ่งหยอกกันไปมาอย่างสบายใจ
ในที่สุดบริเวณที่นาที่หมูคุ้ยนั้นไม่มีรอยเท้าของหมูเลยเป็นร่องรอยเลย เห็นแต่รอบเท้าของหมา
เพราะหมูคุ้ยดินก่อนหมาวิ่งเล่นทีหลังทำให้ลบรอยเท้าหมูจนหมดสิ้น คงเห็นแต่รอยเท้าหมาอย่างชัดเจนเต็มท้องนา
เมื่อหมูคุ้ยดินเสร็จและหมาก็วิ่งเล่นจนเหนื่อยแล้วจึงพากันกลับบ้าน
หมาได้บอกเจ้าของบ้านว่า
“หมู ไม่ได้ช่วยไถช่วยคุ้ยดินเลย
ข้าเป็นผู้คุ้ยดินเอง หมูเอาแต่นอนเล่น ถ้าไม่เชื่อลองไปดูที่คุ้ยเสร็จแล้วสิ
จะไม่เห็นรอยเท้าหมูสักนิด มีแต่รอบเท้าของข้าทั้งหมด”
ชาวนานั้น
เมื่อรู้ดังนั้นจึงออกไปดูที่นา เห็นแต่รอบเท้าหมาจริงเหมือนที่หมาบอก
เมื่อไปเห็นดังนั้นจึงเชื่อว่าหมาสู้งานหนักจริง ๆ
ด้วยความเชื่อเช่นนั้น
ชาวนาคนนั้นจึงไม่ยอมเลี้ยงหมูด้วยข้าวสุกและก็บ่นว่า
“หมูนะหมูต่อไปเอ็งไม่ต้องกินข้าวสุกแล้ว
ข้าจะให้เอ็งกินแต่รำ และข้าจะให้ข้าวสุกแก่หมาเท่านั้น”
ด้วยเหตุนี้เองหมูจึงต้องกินรำมาจนถึงทุกวันนี้
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
การประจบสอพลอไม่ได้ทำให้ชีวิตสุขสบายเสมอไป
และการฟังความ ไม่ควรฟังความข้างเดียว
แหล่งที่มา http://nitankonnon.blogspot.com
No comments:
Post a Comment