Friday, November 29, 2019

มดกับตั๊กแตน



          นิทานอีสป มดกับตั๊กแตน นิทานสอนใจที่จะช่วยสอนให้เด็ก ๆ รู้จักการแบ่งเวลาให้เป็น

          วิธีสอนลูกรักให้รู้จักกับการแบ่งเวลาเล่นและเวลาเรียนออกจากกันอย่างเหมาะสม นับว่าเป็นเรื่องที่ทำให้คุณแม่หลายคนรู้สึกปวดหัวอยู่ไม่น้อย เพราะด้วยวัยที่ยังเด็กมาก หากสอนเขาไปแบบตรง ๆ คงไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไรนัก แต่ถ้าเปลี่ยนมาใช้วิธีใหม่อย่างการเล่านิทานพร้อมแง่คิดคงช่วยสอนเด็ก ๆ ได้ดีทีเดียว อย่าง นิทานอีสป  มดกับตั๊กแตน ซึ่งให้ข้อคิดเรื่องการแบ่งเวลาแถมมีเนื้อหาสนุกสนานฟังได้แบบเพลิดเพลิน คุณแม่คนไหนอยากสอนลูก ๆ ในเรื่องการแบ่งเวลาผ่านนิทานบ้างก็ตามมาอ่าน นิทานอีสป มดกับตั๊กแตน ได้เลย 

            กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ บริเวณทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ มีครอบครัวมดฝูงเล็กอาศัยอยู่รวมกันใต้โพรงดินขนาดกำลังพอเหมาะ ซึ่งข้าง ๆ โพรงดินนั้นคือขอนไม้เก่าที่ตั๊กแตนเจ้าสำราญใช้พักอาศัยเช่นกัน

           ในช่วงฤดูร้อนที่ผลผลิตพืชพรรณงอกงามออกรวงมากมาย สมาชิกบ้านมดทั้งหลายต่างขยันขันแข็งเก็บเกี่ยวพืชเหล่านั้นมาตุนไว้สำหรับหน้าหนาว ส่วนเจ้าตั๊กแตนกลับเอาแต่เล่นดนตรีอย่างเพลิดเพลิน และแปลกใจว่าทำไมฝูงมดต้องขยันถึงเพียงนี้ เมื่อเห็นเช่นนั้นตั๊กแตนจึงแวะไปสอบถาม

          "ฝูงมดตัวน้อยเอ๋ย พวกเธอจะเร่งทำงานเก็บพืชพรรณไปทำไมกันมากมาย" ตั๊กแตนเอ่ย

          "ก็เก็บไว้กินตลอดฤดูหนาวน่ะสิ" เสียงของมดซึ่งเป็นหัวหน้าตอบกลับพลางเก็บเกี่ยวพืชพรรณไปด้วย

          "โห ! ฤดูหนาวเลยหรือ อีกนานเลยนะ เพราะนี่ก็เพิ่งจะเข้าหน้าร้อนเอง" เจ้าตั๊กแตนพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

          "ก็เราเก็บเกี่ยวตอนนี้ ฤดูหนาวจะได้มีอาหารกินอย่างอุดมสมบูรณ์แถมได้พักผ่อนแบบเต็มที่ไงล่ะ" หัวหน้ามดอธิบาย

          "แต่เที่ยวเล่นพักผ่อนในฤดูร้อนก็สนุกไปอีกแบบนะ ทำไมจะต้องรอถึงหน้าหนาวด้วย" เสียงตั๊กแตนโต้กลับ "เอาเถอะ ฉันขอกลับบ้านไปเล่นดนตรี เต้นรำ ก่อนแล้วกันนะ"
 
          ตั๊กแตนเดินกลับไปอย่างสบายใจไม่เดือดร้อน ส่วนฝูงมดก็ทำหน้าที่ของตนอย่างแข็งขัน


          เวลาผ่านไปไม่นานนัก ลมหนาวเย็นยะเยือกก็มาเยือน เป็นสัญญาณเตือนว่าเข้าสู่ฤดูหนาวแล้วนั่นเอง ในขณะเดียวกันผลไม้พืชพรรณที่เคยงอกเงยต่างโรยรา จะหาอาหารมากินแทบไม่มี แต่ถึงอย่างไรฝูงมดก็ไม่เดือดร้อน เพราะพวกมันเก็บตุนของกินไว้แล้วมากมาย

          "ดีนะเนี่ยที่เราเก็บอาหารเอาไว้เยอะแยะ คราวนี้จะได้กินแบบไม่ต้องกลัวอด" มดตัวเล็กเอ่ยขึ้นมา

          "ใช่ ๆ ต้องขอบคุณพวกเราจริง ๆ ที่ขยันขันแข็งอดทนทำงานทำให้เรามีกินในวันนี้" หัวหน้ามดประกาศขอบคุณท่ามกลางความยินดีของมดทุกตัว

          ก๊อก ก๊อก ก๊อก ! !... เสียงเคาะประตูหน้าโพรงมดดังขึ้น "สงสัยมีแขกมาเยี่ยมหรือเอาอาหารมาแลกเป็นแน่" มดตัวเล็กพูดแล้วเดินไปเปิดประตู

          หน้าประตูนั้นคือตั๊กแตนเจ้าสำราญผู้พักอาศัยอยู่ข้าง ๆ ที่เคยมีท่าทางสดใสร่าเริง แต่คราวนี้ ตั๊กแตนกลับยืนก้มหน้าด้วยความหิวโซ พอประตูเปิดจึงรีบเดินตรงมาหาหัวหน้ามดที่เคยสนทนาด้วยทันที
          "สวัสดีมดเอ๋ย ฉันหิวเหลือเกินไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน พอจะมีอาหารแบ่งฉันบ้างไหม" ตั๊กแตนขอร้อง

          "อะไรกัน บ้านเธอไม่มีอะไรกินเลยหรือ ช่วงฤดูร้อนผลผลิตออกจะอุดมสมบูรณ์" หัวหน้ามดถามด้วยความสงสัย
          "ฉันมัวแต่ยุ่งกับการเล่นดนตรีและเต้นรำ เลยไม่มีเวลามานั่งทำงานกักตุนอาหารไว้กินอย่างเธอ" คำแก้ตัวของตั๊กแตน

          "อะไรกัน ! นี่เธอไม่ทำงานเลยเหรอ มัวแต่เล่นดนตรีสนุกสนานเนี่ยนะ" หัวหน้ามดตวาด ด้านตั๊กแตนก็ทำหน้าเจื่อนโดยไม่มีคำตอบโต้ "ถ้าเธอไม่รู้จักแบ่งเวลาเล่นกับเวลาทำงาน ฉันก็คงปันอาหารให้เธอไม่ได้ เจ้ากลับไปเถอะ"

          พอสิ้นคำพูดของหัวหน้ามด เจ้าตั๊กแตนเลยเดินกลับบ้านไปแบบหิวโหย ส่วนฝูงมดก็พักผ่อนแบบสำราญกับอาหารที่ตุนมาจากช่วงหน้าร้อน


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :

          คนเราควรจะรู้จักหน้าที่ของตัวเอง เวลาไหนควรทำงาน เวลาไหนควรเล่น  หากมัวแต่เล่นไม่ยอมทำงานเลย สักวันหนึ่งชีวิตอาจเจอเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจจนหันไปพึ่งใครไม่ได้ เพราะเราไม่ยอมทำงานเพื่อหาเลี้ยงและยืนบนลำแข้งของตนนั่นเอง

Saturday, September 21, 2019

หนูบ้านกับหนูนา


          ในเช้าอันสดใสวันหนึ่ง หนูบ้านที่อาศัยอยู่ในตัวเมืองอันแสนวุ่นวายได้ออกเดินทางไปเยี่ยมหนูนาที่ชนบท ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้กลับไปที่นั่นมานานหลายปี มันเดินรอนแรมแบบไม่พักจนตะวันตกดิน ในที่สุดก็มาถึงบ้านของหนูนา ทั้ง 2 เจอหน้ากันก็เข้ามาโผกอดทักทายอย่างดีใจ

          "พี่หนูบ้าน เป็นอย่างไรบ้าง ฉันคิดถึงพี่เหลือเกินไม่ได้พบกันตั้งหลายปี" หนูนากล่าวทักอย่างอารมณ์ดี

          "พี่สบายดีน้องหนูนา กินอิ่มอยู่สบาย อยู่ในเมืองจะทำอะไรก็สะดวกไปหมด" หนูบ้านตอบแบบภูมิใจ

          "ดีจริงที่ได้ยินอย่างนั้น... มา ๆ เข้าบ้านกันก่อนพี่ ฉันเตรียมอาหารไว้มากมาย พี่เหนื่อยมาทั้งวันคงหิวแย่" หนูนาเชิญชวนให้เข้ามาข้างในโพรงไม้ริมชายนาน่าพักผ่อนของตน

          พอเข้ามาในโพรงไม้ อาหารที่หนูนาจัดไว้อย่างดีกลับมีเพียงข้าวสาร ธัญพืชและผลไม้เพียงเล็กน้อย ไม่ได้มีอาหารน่ากินเหมือนที่หนูเมืองคิดเอาไว้

          "โธ่ หนูนาน้องพี่ นี่เธอกินอาหารพวกนี้ไปได้อย่างไรกัน วัน ๆ ไม่เคยได้กินของที่ดีกว่านี้เลยหรือไร" หนูบ้านหันมาถามหนูนาด้วยสีหน้าแสนห่วงใย

          "ฉันว่านี่ก็ดีแล้วนะพี่ อาหารแต่ละอย่างคุณภาพดี ๆ ทั้งนั้น ขนาดคนเมืองยังมารับไปขายเลย" เสียงของหนูนาตอบกลับแบบแผ่วเบา ด้วยความรู้สึกอายที่ว่าอาหารนั้นไม่ถูกใจแขกผู้มาเยือน

          "เอาอย่างนี้ เดี๋ยวเราเข้าเมืองไปเที่ยวบ้านพี่กัน รับรองว่าจะมีของกินคุณภาพดีมากมายให้เธอได้กินอย่างสุขสบาย" พอหนูนาพูดจบ ทั้ง 2 ก็กินอาหารแล้วเข้านอน เมื่อพระอาทิตย์ฉายแสงมา พวกเขาจึงออกเดินทางไปยังในเมืองทันที

          เมื่อถึงบ้านในเมืองอันแสนคับแคบแต่เต็มไปด้วยข้าวของทันสมัย หนูนาที่เพิ่งเข้ามาในเมืองครั้งแรกก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยว่าพี่หนูบ้านไม่อึดอัดหรืออย่างไร ที่ต้องอยู่แค่ในรูแสนคับแคบของชุมชนเมืองแบบนี้

          หลังจากนั่งได้สักพักหนูบ้านก็ถืออาหารละลานตามาพร้อมเสิร์ฟต้อนรับแขก มีทั้งขนมเค้ก ชีส นม เนย อาหารอย่างดีแบบที่หนูนาไม่เคยเห็นมาก่อน "โอ้โห ! พี่หนูบ้าน พี่ได้กินของดีอย่างนี้ทุกวันเลยหรือจ๊ะ" หนูนาร้องออกมาด้วยเสียงตื่นเต้น

           "ใช่แล้วน้องพี่ ก็เธออยู่ชนบทได้กินแต่ของไม่ดี อยู่ในเมืองแบบพี่นี่สิ ชีวิตที่ใคร ๆ ก็อยากมีกัน" หนูบ้านพูดจบก็มีเสียงแปลก ๆ ดังขึ้นมาทันที "เหมียว เหมียว !"
    
          "นั่นเสียงอะไรหรือพี่" หนูนาถามอย่างกังวล

          "คงเป็นเสียงดนตรีแหละมั้ง คนแถวนี้เขาชอบฟังเพลงกัน ช่างเถอะนะหนูนาน้องพี่ เรามากินอาหารกันเถอะ" หนูบ้านกับหนูนากินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย แต่เสียงร้องเหมียว ๆ ก็ใกล้เข้ามาทุกที

          ทันใดนั้นเอง แมวร่างใหญ่ก็โผล่เข้ามาข้างโต๊ะอาหาร หนู 2 ตัวต่างวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงด้วยความตกใจ หนูนาวิ่งไปซ่อนตัวในถังขยะอันเหม็นเน่า นั่งตัวสั่นเทาตรงนั้นหลายชั่วโมงแล้วค่อยกล้าเดินออกมา

          "น้องหนูนา !" เสียงหนูบ้านตะโกนดังลั่นมาแต่ไกลเมื่อได้เห็นหน้าหนูนา "ไปหลบที่ไหนมา พี่นึกว่าโดนเจ้าแมวนั่นคาบไปเสียแล้ว"

          "ฉันหลบอยู่ที่ถังขยะเหม็นเน่ามา ฉันกลัวเหลือเกินพี่ อยากกลับบ้านเต็มทีแล้ว" หนูนาตอบด้วยเสียงสั่นเครือ

          "แต่ที่นี่มีของดี ๆ รอให้เธอมากินอีกมากมายเลยนะ" หนูบ้านกล่าวรั้งไว้

          "ของดีแค่ไหนฉันก็กินไม่ลงหรอกพี่ ขอตัวกลับบ้านไปกินของเท่าที่มีแต่รู้สึกสบายใจในชนบทจะดีกว่า" พูดจบหนูนาก็เดินกลับชนบท ทิ้งให้หนูบ้านอยู่อย่างหวาดหวั่นที่เขตเมืองต่อไป


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :

          สิ่งไหนที่เรามีแล้วรู้สึกสบายใจที่ได้ครอบครองย่อมนำความสุขมาสู่ชีวิตเสมอ แต่สิ่งใดที่มีแล้วหวาดหวั่นทุกครั้งนั่นคือความทุกข์ ดังนั้นเราควรพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว


Monday, September 2, 2019

นกฮูกกับตั๊กแตน



         กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนกฮูกสาวตัวหนึ่งเมื่อถึงคราวที่ท้องฟ้าสว่างเจิดจ้าด้วยแสงอาทิตย์ นกฮูกตัวนี้จะนอนหลับอยู่ในโพรงต้นไม้ พอแสงอาทิตย์จางหายไป นกฮูกผู้หลับใหลก็จะตื่นขึ้นมาพร้อมออกหากิน ซึ่งอาหารอันโปรดปรานของเจ้านกตัวนี้มีทั้ง แมลง มด สัตว์ตัวเล็กจิ๋ว พวกมันล้วนมีรสชาติดีแถมทำให้นกฮูกอิ่มได้ตลอดคืน
 
          หลายเดือน หลายปีผ่านไป... เจ้านกฮูกที่อาศัยอยู่ในโพรงไม้นั้นได้แก่ตัวลง จะออกหากินแต่ละทีก็เริ่มลำบาก หากวันใดมีเสียงรบกวนช่วงเวลากลางวันก็จะทำให้นอนหลับไม่เต็มอิ่มจนหมดเรี่ยวแรง ถึงแม้ช่วงหลายวันที่ผ่านมาจะยังไร้เสียงหรือผู้ใดคอยรบกวน แต่วันนี้กลับมีเสียงร้องเพลงดังลั่นป่า นกฮูกแก่เลยต้องโผล่หน้าจากโพรงไม้เพื่อสังเกตการณ์ดูว่าใครกันนะที่ฮัมเพลงเสียงดังขนาดนี้

          โดยต้นเสียงนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่มันเป็นเสียงขับร้องของตั๊กแตนผู้ย้ายมาใหม่นั่นเอง

          "เจ้าตั๊กแตนตัวน้อย ช่วยเบาเสียงลงหน่อยได้ไหม เรานอนไม่ค่อยจะหลับเลย" นกฮูกกล่าวด้วยน้ำเสียงโมโห

          "นี่คือเวลากลางวัน ช่วงพระอาทิตย์ส่องแบบนี้ เรามีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้" ตั๊กแตนหันมาตอบแล้วร้องเพลงต่ออย่างสบายใจ นกฮูกเห็นดังนั้นยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าเถียงตนได้ขนาดนี้

          "แต่เราต้องการพักผ่อน เพื่อที่จะได้มีแรงช่วงกลางคืน เจ้าไปร้องเพลงเล่นที่อื่นเถิด เจ้าตั๊กแตนตัวกระจ้อย !" นกฮูกโมโหหนักขึ้นกว่าเดิม

          "ก็บอกเหตุผลมาสัก 1 ข้อสิ ว่าเราได้ประโยชน์อะไรจากการหยุดร้องเพลง... ลั้น ลา ละ ลั้น ลั้น ลา..." ตั๊กแตนร้องเพลงต่ออย่างไม่ไยดี 

            นกฮูกทำได้เพียงเคียดแค้นอยู่ในใจ ไม่กล้าโหวกเหวกออกไป ด้วยกลัวจะโดนผู้อื่นหัวเราะเยาะที่มาเถียงกันเพราะเรื่องแค่นี้ แต่เพื่อให้ตนเองนอนหลับได้นกฮูกผู้ปราดเปรื่องจึงคิดแผนการขึ้นมา

          "ตั๊กแตนผู้มีเสียงอันไพเราะ เราต้องขอโทษทีที่เมื่อครู่นี้ได้ตวาดเจ้าไป มาตอนนี้เราได้ฟังเสียงเจ้าแล้วก็เป็นอันพอใจเพราะเสียงเจ้านั้นไพเราะเสนาะหูเหลือเกิน" นกฮูกออกมาพูดกับตั๊กแตนด้วยน้ำเสียงเยินยอ ทำเอาตั๊กแตนเกิดอาการประหลาดใจ แต่ก็อดยิ้มในคำชื่นชมนั้นไม่ได้

          "วันนี้เรามีไวน์ชั้นเลิศ ที่เหล่าทวยเทพทั้งหลายใช้ดื่มช่วยทำให้เสียงใสก้องกังวานมากขึ้น เพื่อเป็นการมอบรางวัลให้ตั๊กแตนผู้ร้องเพลงดีกว่าใคร ได้โปรดขึ้นมาดื่มไวน์ด้วยกันบนนี้เถิด" นกฮูกเชื้อเชิญตั๊กแตนอย่างมีแผนการ 

          "ก็ได้ เห็นแก่ที่ท่านชอบใจในน้ำเสียงของเรา ถ้าอย่างนั้นเราจะขึ้นไปร่วมดื่มไวน์ด้วยแล้วกัน" ตั๊กแตนกล่าวเสร็จก็กระโดดขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

          เมื่อตั๊กแตนเดินเข้าไปในโพรงไม้อันมืดสนิท ก็ทำให้มันมองไม่เห็นสิ่งใดเลย ต่างจากนกฮูกที่มองเห็นได้ดี ว่าแล้วนกฮูกเลยได้ทีจัดการกินเจ้าตั๊กแตนจนอิ่มหนำ แล้วก็นอนหลับพักผ่อนอย่างสบายใจไร้เสียงใด ๆ มารบกวนตลอดวัน


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :

          อย่าหลงเชื่อคำเยินยอของใครง่าย ๆ เพราะสิ่งที่ร้ายกับเราได้มากที่สุดก็คือการหลงเชื่อคำพูดสรรเสริญอันไพเราะนั่นเอง อีกทั้งเมื่อเกิดความขัดแย้งอะไรกันควรใช้สติปัญญาในการแก้ไขดีกว่านั่งทะเลาะกันทั้งวันให้เสียเวลา


https://baby.kapook.com/view213229.html 
เครดิตภาพ   https://www.pinterest.es/pin/95138610864068316/


Saturday, July 27, 2019

ลมกับพระอาทิตย์


        
           นิทานก่อนนอน ลมกับพระอาทิตย์ เรื่องราวของการแข่งขันที่สามารถใช้สอนใจลูกน้อยได้อย่างดีทีเดียว

           ในวันที่ลูกรักจะเติบใหญ่ พ่อแม่หลายคนคงอยากให้เจ้าตัวน้อยของเราโตมาเป็นคนที่มีเมตตา ไม่ว่ากับใครก็ตามที แต่จะพูดพร่ำทุกวันแบบนี้ลูกรักอาจจะไม่อยากฟังสักเท่าไร คงต้องใช้นิทานก่อนนอนมาเป็นสื่อช่วยในการสอนสักหน่อยแล้ว อย่าง นิทานอีสป ลมกับพระอาทิตย์ ซึ่งฝากข้อคิดเรื่องของการแข่งขัน ความเมตตา และความอ่อนโยนได้อย่างแนบเนียน ส่วนเนื้อเรื่องก็สนุกน่าติดตาม เรียกลูกน้อยมานั่งข้าง ๆ แล้วเล่านิทานให้เขาฟังกันเลย 

            กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว วันที่อากาศแจ่มใสท้องฟ้าปลอดโปร่ง พระอาทิตย์ออกมาส่องแสงเจิดจ้าอย่างที่เคยเป็น เจ้าลมเพื่อนเก่าได้ผ่านมาเห็นเลยหยุดแวะทักทาย 

           "เป็นอย่างไรบ้างพระอาทิตย์มิตรแห่งเรา ไม่เจอกันเสียนานสบายดีหรือไม่เจ้าลมตะโกนทักทายสหายเก่าสุดเสียง 
   
            พระอาทิตย์ก็ตอบรับอย่างดีใจด้วยไม่เจอลมตนนี้มาเนิ่นนานเหลือเกิน

            ขณะนั้นเองก็มีชายหนุ่มนักเดินทางสวมเสื้อคลุมกำลังเดินเล่นเตร็ดเตร่อยู่ เจ้าลมเห็นอย่างนั้นก็นึกสนุก พูดท้าทายบางสิ่งออกมา 

           "พระอาทิตย์สหายรัก เรามาแข่งขันวัดความแข็งแกร่งกันสักหน่อยไหมลมกล่าวชักชวน 

           "ได้สิ ๆ แข่งอะไรดีเล่าพระอาทิตย์ตอบกลับแบบไม่คิดอะไร 

            ด้านเจ้าลมก็ชี้ลงไปยังหนุ่มนักเดินทางคนนั้นพร้อมกล่าว 

            "ง่ายมากเลย ทำยังไงก็ได้ให้เสื้อคลุมของพ่อหนุ่มคนนั้นหลุดออกมาจากตัว ใครทำสำเร็จถือเป็นผู้ชนะและแข็งแกร่งที่สุด

               พระอาทิตย์พยักหน้าตอบรับ ลมเห็นว่าสหายรักรับคำท้าจึงโผไปหาหนุ่มนักเดินทาง พลางตะโกนไล่หลัง 

              "ฉันขอเริ่มก่อนเลยนะ"

            เจ้าลมใช้กำลังทั้งหมดรวบรวมมาเป็นพายุขนาดย่อม หวังทำให้เสื้อคลุมตัวนั้นปลิดปลิว แต่หนุ่มนักเดินทางก็ไม่หวั่นไหวแถมยังจับเสื้อเอามาคลุมไว้แน่น ลมเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งใช้แรงบีบบังคับมากขึ้นไปอีก จนหนุ่มคนนั้นแทบไม่มีแรงก้าวเดิน 

            "ทำไมลมในวันนี้ถึงได้มีความโหดร้ายกับฉันนักนะหนุ่มนักเดินทางบ่นอย่างท้อใจแล้วดึงเสื้อคลุมตัวแน่นกว่าเดิม 

            เจ้าลมจึงรวบรวมพลังอีกครั้งพร้อมกับเป่าไปยังหนุ่มคนนั้น ถึงขั้นเดินเซเกือบล้ม 

           "พอเถิดหนาลมเอ๋ย เราขอลองแข่งบ้างเถิดพระอาทิตย์กล่าวกับลม 

            ด้วยแรงที่ใกล้จะหมดไป ลมจึงยอมให้พระอาทิตย์มาแข่งต่อ คราวนี้อากาศแจ่มใสไร้พายุใด ๆ มาก่อกวน หนุ่มนักเดินทางเลยเดินต่อจนใกล้ถึงแนวป่า ด้านพระอาทิตย์เองก็เริ่มแผนการอย่างแยบยล เขาค่อย ๆ เปล่งแสงให้ร้อนทีละนิด ทีละนิด จนหนุ่มคนนั้นเริ่มรู้สึกอุ่นขึ้น อุ่นขึ้น จากความอบอุ่นกลายเป็นความร้อน พอเจอแนวต้นไม้เงียบสงบ หนุ่มนักเดินทางเลยเลือกที่จะเข้าไปนั่งพัก พร้อมถอดเสื้อคลุมตัวที่ลมท้าพระอาทิตย์วางไว้ข้างกายอย่างสบายใจ

          
"ความอ่อนโยนของเธอเหนือกว่าพละกำลังที่ฉันมีจริง ๆลมชื่นชมในสิ่งที่พระอาทิตย์ทำลงไป 

          "ไว้มีโอกาสคราใด เราจะแวะมาหาใหม่นะพระอาทิตย์เพื่อนรัก

            ทั้งคู่จึงยิ้มร่ำลากันอย่างมีความสุข


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :

          การใช้กำลังและความรุนแรงแข่งขันกันไม่ทำให้เราได้ในสิ่งที่ต้องการเสมอไป บางครั้งอาจจะต้องสูญเสียสิ่งเหล่านั้นเพราะการกระทำอันก้าวร้าวของเราก็เป็นได้ แต่ถ้าเปลี่ยนความรุนแรงมาเป็นความอ่อนโยนและมีเมตตา ไม่ว่าจะทำอะไรย่อมได้ผลสำเร็จตอบแทนอย่างที่หวังแน่นอน    


เครดิตภาพ   https://www.pinterest.com/pin/109634572164912018/

Tuesday, June 25, 2019

ลาโง่กับสิงโต




          ลาโง่กับสิงโต นิทานอีสปสอนใจที่ให้ข้อคิดแก่เด็ก ๆ ได้นำไปปรับใช้ในชีวิต อีกทั้งยังมีเนื้อหากระชับเหมาะสำหรับไว้เล่าให้ลูกฟังก่อนนอนได้อีกด้วย

           หลังจากที่ลูกรักวิ่งเล่นหรือเรียนหนังสือมาจนเหนื่อย เมื่อถึงเวลาเข้านอนถือเป็นเวลาที่ดีในการอบรมสั่งสอนหรือให้ข้อคิดกับเขา แต่ถ้าพ่อแม่คนไหนพูดไม่ค่อยเก่ง หรือกลัวว่าลูกรักจะไม่ยอมอยู่นิ่ง ถ้าอย่างนั้นลองเอานิทานอีสปก่อนนอนไปเล่าให้เขาฟังกันเลย อย่าง นิทานอีสป ลาโง่กับสิงโต  ที่กระปุกดอทคอมเอามาฝากนี้แหละ ทั้งสนุกและปลูกฝังข้อคิดสอนใจ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น มาตามอ่านกันได้เลย

           กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสิงโตเจ้าป่าอยู่ตัวหนึ่ง มันมักจะออกล่าเหยื่อเพียงลำพัง และทุกครั้งก่อนออกล่าก็ต้องส่งเสียงร้องคำรามลั่นป่าตามสัญชาตญาณทุกครั้งไป ในช่วงแรกก็มีสัตว์ให้สิงโตได้กินอย่างอิ่มหนำสำราญ แทบจะไม่ต้องออกแรงวิ่งตามให้เหนื่อยสักนิด แต่ช่วงหลังมานี้เหล่าสัตว์ที่ตกเป็นเหยื่อทั้งหลายเริ่มรู้ว่า ก่อนออกล่าเจ้าป่าจะชอบส่งเสียงคำรามดังก้อง แม้มองไม่เห็นตัวของมัน แต่ก็พอเดาได้ว่าเสียงนั้นมาจากทิศทางใดกันแน่

          "เสียงสิงโตร้องคำรามอีกแล้ว น่าจะดังมาจากภูเขาลูกนั้นแน่เลย" เสียงกวางหนุ่มหันไปบอกเจ้าหมูป่าที่กำลังแทะผลไม้อย่างเอร็ดอร่อย หมูป่าหันขวับขึ้นมาด้วยท่าทางตกใจ "ถ้าอย่างนั้นเรารีบวิ่งหลบไปอีกฝั่งแม่น้ำกันดีกว่า !" หมูป่าเอ่ยชวนเจ้ากวาง แล้วทั้งคู่ก็วิ่งออกไปพร้อมตะโกนบอกสัตว์อื่นให้หนีไปทางแม่น้ำกัน

        "สิงโตมาแล้ว มันกำลังจะมาล่าเหยื่อแล้ว รีบวิ่งไปอีกฝั่งของแม่น้ำกันพวกเรา !" เสียงหมูป่าและกวางหนุ่มร้องเตือนด้วยความตื่นกลัว

        เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเหล่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยเลยไหวตัวทัน พากันวิ่งหนีออกไปอีกทาง ทำให้สิงโตเจ้าป่าต้องตามไปสุดฝีเท้า กว่าจะได้กินเหยื่อแต่ละครั้งก็เหนื่อยจนแทบหมดแรง

        "เห็นทีจะวิ่งไล่เจ้าสัตว์ป่าพวกนี้ไม่ไหวแล้วเรา คงต้องหาแผนการใหม่ซะแล้ว" สิงโตบ่นกับตัวเองขณะกินเหยื่อที่อุตส่าห์ออกล่าอย่างยากลำบาก  

          อยู่มาวันหนึ่ง สิงโตรู้ว่ามีลาโง่ผู้ชอบโอ้อวดอยู่อีกฟากของป่า ทำให้มันคิดแผนใหม่ได้ จึงออกเดินทางไปชวนให้เจ้าลาตัวนั้นมาเป็นเพื่อนล่าเหยื่อด้วยกัน 

          "เจ้าลาหนุ่มผู้ปราดเปรื่อง ตอนนี้ข้ากำลังหาเพื่อนมาล่าเหยื่อด้วยกัน เจ้าสนใจอยากมาเป็นคู่หูรู้ใจกับข้าหรือไม่" สิงโตกล่าวกับลาด้วยนัยน์ตามีเลศนัย ได้ยินอย่างนั้นเจ้าลาก็ยิ่งดีใจ ไม่คิดว่าจะมีสิงโตผู้น่าเกรงขามมาขอเป็นเพื่อน "ท่านเจ้าป่าผู้ยิ่งใหญ่มาชวนข้าด้วยตัวเองอย่างนี้ มีหรือที่จะปฏิเสธได้ ถ้าอย่างนั้นเราไปล่าเหยื่อด้วยกันเถิด สิงโตเพื่อนรัก" เจ้าลาโง่กล่าวด้วยความซื่อไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วสิงโตไม่ได้มองว่ามันเป็นเพื่อนสักนิด แถมยังยินยอมตามเจ้าป่าไปแบบไม่มีข้อแม้

          เมื่อเวลาออกล่าเหยื่อมาถึง สิงโตใช้กลอุบายให้ลาซ่อนตัวในพุ่มไม้แล้วก็เปล่งเสียงออกมาแบบดังที่สุด "เจ้าซ่อนตัวในพุ่มไม้นี่นะลาเพื่อนรัก พอข้าเดินไปถึงฝั่งตรงข้ามเจ้าก็ร้องคำรามเสียงอันน่าเกรงขามมาได้" สิงโตพูดพร้อมวิ่งออกไปอีกทาง

          "เราจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังเลย สิงโตเพื่อนรักเอ๋ย" จากนั้นลาโง่ก็คำรามออกมาสุดกำลัง พอสัตว์อื่นได้ยินเสียงประหลาดของมันเลยตกใจ แล้วพากันวิ่งหนีไปฝั่งที่สิงโตดักเอาไว้อีกทาง 

          วันนั้นสิงโตเจ้าเล่ห์เลยมีเหยื่อให้กินแบบไม่ต้องออกแรงวิ่งอย่างที่เคยเป็น ส่วนเจ้าลาโง่ก็เที่ยวเล่าเรื่องที่ตนทำกับสิงโตอย่างโอ้อวดไปทุกที่ที่เดินผ่าน โดยไม่รู้เลยว่าสัตว์อื่นต่างหัวเราะเยาะที่มันโดนเจ้าป่าหลอกใช้เอาเสียงประหลาด ๆ มาสร้างผลประโยชน์ให้แก่ตนเอง "เสียงคำรามประหลาด ๆ นั่นคือเสียงของเจ้าลานี่หรอกหรือ" กวางหนุ่มบ่นกับหมูป่า พร้อมหันมาหัวเราะเยอะในความโง่ของเจ้าลาตัวนั้นกัน


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :

          อย่าตกเป็นเหยื่อให้คนอื่นหลอกใช้เพียงเพราะเขาคนนั้นมีความน่าเชื่อถือหรือมีหน้ามีตาในสังคม เด็ก ๆ ควรตรวจสอบให้ดีเสียก่อนว่าสิ่งที่เขาให้เราช่วยนั้นจะทำเราเดือดเนื้อร้อนใจภายหลังหรือไม่ แล้วมันจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของเราในอนาคตหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นอาจเข้ากับคติเตือนใจที่ว่า คนโง่ย่อมตกเป็นเหยื่อของคนฉลาดได้แบบไม่รู้ตัว

เครดิดตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/497155246357647043/

Friday, April 26, 2019

กระต่ายป่ากับฝูงกบ



นานมาแล้ว มีกระต่ายป่าฝูงหนึ่ง นัดชุมนุมกันที่ชายป่าเพื่อปรึกษากันหาวิธีที่จะช่วยให้พวกมันพ้นไปเสียจากความกลัวและภัยที่เกิดจากมนุษย์และบรรดาสัตว์ป่าที่ตามล่าพวกมันเป็นอาหาร พวกมันคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก

จนกระต่ายป่าตัวหนึ่งพูดขึ้นมาว่า

ความตายเท่านั้นที่จะพาพวกเราพ้นไปเสียจากความกลัวและศัตรูของเราได้

กระต่ายที่สิ้นหวังทุกตัวเห็นด้วย จึงชวนกันไปที่บึงเพื่อกระโดดน้ำตาย  เสียงเดินของพวกมันทำให้กบฝูงหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่แถวนั้นพากันกระโจนหนีด้วยความตกใจสุดขีดจนถึงเหยียบกันตาย

กระต่ายชราตัวหนึ่งเห็นดังนั้น จึงพูดขึ้นว่า

พวกเราอย่าเพิ่งสิ้นหวัง ยังมีสัตว์อื่นที่กลัวยิ่งกว่าเรา เพียงแค่ได้ยินเสียงเท่านั้นก็กลัวลนลานถึงกับเหยียบกันตาย พวกเรามาอดทนกันต่อไปเถิด ไม่ตายเราคงหาวิธีแก้ไขได้


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

จงเปรียบเทียบทุกข์ของเรากับเขา ทุกข์เราจะบรรเทาไปเอง


แหล่งที่มา  อักษรา ฟอร์ คิดส์ เล่ม 1

Saturday, April 20, 2019

นกเหยี่ยวกับสุนัขจิ้งจอก




นางนกเหยี่ยวกับแม่สุนัขจิ้งจอกตกลงที่จะเป็นเพื่อนกัน ต่างฝ่ายต่างให้สัญญาต่อกันว่าจะไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน จะคอยช่วยเหลือกันในยามมีภัย

ทั้งสองตัวพร้อมกับลูกอ่อนจึงหาที่อยู่ใกล้ๆ กัน โดยนกเหยี่ยวอาศัยอยู่บนต้นไม้ ส่วนสุนัขจิ้งจอกอยู่ใต้ต้น ต่อมาไม่นาน แม่สุนัขจิ้งจอกไม่อยู่ นกเหยี่ยวเกิดหิวขึ้นมา เลยแอบปีนลงมาจับลูกสุนัขจิ้งจอกกินเป็นอาหาร แม่สุนัขจิ้งจอกกลับมาเห็นเข้าพอดี แต่แม่นกเหยี่ยวกลับปฏิเสธ ทั้งๆ ที่ขนลูกสุนัขจิ้งจอกยังติดอยู่ที่ปาก

ขณะนั้นเอง มีคนไปสุมไฟที่รังนกเหยี่ยว ลูกนกถูกไฟครอกตกจากรังร่วงลงมาที่พื้น สุนัขจิ้งจอกหาโอกาสแก้แค้นอยู่แล้ว จึงตรงเข้าไปคาบลูกของนกเหยี่ยวผู้ไม่รักษาสัจจะมากินต่อหน้าแม่ของมันทันที


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ความชั่วแม้จะปกปิดอย่างไรก็ไม่มิด ย่อมส่งผลแก่ผู้กระทำไม่ช้าก็เร็ว


แหล่งที่มา  อักษรา ฟอร์ คิดส์ เล่ม 1
เครดิตภาพ   https://www.pinterest.ie/pin/385831893057591768/

Monday, April 15, 2019

ลากับดอกไม้หนาม




ลาตัวหนึ่งถูกเจ้านายใช้ให้แบกตะกร้าใส่อาหารจำนวนมากไว้บนหลังของมันเพื่อไปส่งให้พ่อค้า ตะกร้านั้นหนักมากจนหลังของมันเจ็บไปหมด เมื่อลาตัวนั้นเดินมาถึงดงดอกไม้หนาม ด้วยความเหนื่อยและความหิว ลาจึงก้มลงกินดอกไม้หนามนั้นแม้หนามของดอกไม้จะทิ่มลำคอของมันเพียงใด

เมื่อกินอิ่มแล้ว มันจึงรำพึงกับตัวเองว่า

ดูเอาเถิด แม้เราจะบรรทุกอาหารชั้นดีมามากมาย แต่อาหารเหล่านั้นก็ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรแก่เราเลย นอกจากสร้างความหนักและความเหนื่อยให้เรา สู้ดอกไม้หนามก็ไม่ได้ แม้จะมีรูปร่างอัปลักษณ์น่าเกลียด ทั้งรสก็ขมและทำให้คันคอ แต่มันก็ช่วยให้เราหายหิวได้มากกว่าอาหารรสเลิศบนหลังของเราเสียอีก


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

สิ่งใดก็ตามแม้จะดูไร้ค่า แต่ก็มีราคาเมื่อมีคนเห็นประโยชน์


แหล่งที่มา  อักษรา ฟอร์ คิดส์ เล่ม 1

เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/explore/funny-farm/

Friday, March 15, 2019

กองฟืนเท่าภูเขา ก็มิอาจทดแทนคุณมารดา




ณ หมู่บ้านชนบทอันไกลแสนไกล มีครอบครัวเล็กๆ อาศัยอยู่ริมเชิงเขา พ่อมีอาชีพเก็บฟืนไปขายที่ตลาดทุกๆ เช้า แม่ทำงานบ้าน ส่วนลูกชายอยู่ในวัยหนุ่มเป็นคนเกียจคร้านไม่ยอมช่วยการงานพ่อแม่ พอถึงเวลาอาหารก็เอะอะโวยวายโมโหหิว พาลปาข้าวของเสียหาย

แม่เคยสอนว่า

ข้าวก็อยู่ในถัง น้ำก็อยู่ในตุ่ม หม้อก็อยู่ข้างฝาบ้าน ลูกก็ช่วยแม่หุงหาบ้างสิ

ไม่มีคำตอบจากลูก แต่ความหิวยังไม่หายไป และความโมโหก็รุนแรงขึ้น จนแม่ต้องผละจากงานมาหุงหาให้ได้ดังใจ

อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่พ่อไปเก็บฟืนก็ถูกสัตว์ป่าทำร้ายจนเสียชีวิต แล้วแม่ก็ต้องทำงานทุกอย่างแทนพ่อ ทั้งเก็บฟืน และยังต้องทำงานบ้าน รวมทั้งต้องคอยหุงหาอาหารให้ลูกกิน ฝ่ายลูกชายก็ยังไม่สำนึก ยังคงเกียจคร้าน และใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าไปวันๆ

ภาระของแม่นั้นหนักหนานัก และด้วยวัยที่ชราแล้ว จึงล้มป่วย และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

ฝ่ายลูกชายรู้สึกเสียใจมาก เกิดความสำนึกผิด เขาตื่นแต่เช้าเดินทางไปในป่า เก็บฟืนแล้วนำมากองไว้ แล้วก็เดินเข้าป่าไปเก็บฟืนกลับมากองไว้อีก ทำอย่างนี้ซ้ำๆๆๆ จนกองฟืนสูงเท่าภูเขาลูกใหญ่ เพื่อหวังจะทดแทนความเกียจคร้านที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้ทำให้แม่ฟื้นขึ้นมาได้

เขาได้แต่เสียใจ และคิดถึงพ่อกับแม่ ทั้งเหนื่อย ทั้งหิว แต่วันนี้ แม่มิอาจฟื้นขึ้นมาหุงข้าวให้เขากินได้อีกแล้ว...  เขาคิดว่าหากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะช่วยผ่อนแรงพ่อแม่ผู้แก่ชราและดูแลท่านอย่างดี

แต่วันนี้..... ทุกอย่างสายไปเสียแล้ว


แหล่งที่มา  หนังสือ อัสสัมชัญสาส์น
ศตวรรษที่ 2 ปีที่ 24 ฉบับที่ 139 กรกฏาคม สิงหาคม 2552
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/448882287842673404/