Monday, October 10, 2016

เจ้าชายรูปงามกับเหยี่ยวคู่กาย

   
กาลครั้งหนึ่ง มีเจ้าชายรูปงามองค์หนึ่ง โปรดปรานกับการล่าสัตว์ในป่าเป็นอย่างมาก เวลาที่พระองค์ออกไปที่แห่งใดก็ตาม จะมีเหยี่ยวคู่กายเกาะอยู่ข้างๆ พระองค์เสมอ เหยี่ยวคู่กายตัวนี้ ได้รับการฝึกให้ล่าสัตว์ได้เป็นอย่างดีและคงรักในการล่าสัตว์เหมือนเจ้าชายรูปงามนั่นเอง

อยู่มาวันหนึ่ง  เจ้าชายรูปงามเสด็จออกไปล่าสัตว์ในป่าแต่เช้ามืดพร้อมด้วยทหารองครักษ์นับสิบ และแน่นอนว่า ต้องมีเหยี่ยวคู่กายของเจ้าชายเกาะอยู่ที่แขนในขณะที่พระองค์ขี่ม้าในป่าลึก  แต่ในวันนั้นทั้งวัน เจ้าชายไม่สามารถล่าสัตว์ได้เลยสักตัวเดียว ดังนั้น เจ้าชายจึงตัดสินใจออกเดินทางกลับวัง 

แต่เนื่องจากอากาศในวันนั้นร้อนอบอ้าวจริงๆ  ทำให้เจ้าชายรูปงามรู้สึกกระหายน้ำเป็นอย่างมาก  ในตอนนั้นเอง เหยี่ยวคู่กายของพระองค์ผละจากแขนของเจ้าชายและบินออกไป ซึ่งคงไม่ต้องห่วงอะไรเพราะเจ้าเหยี่ยวคงรู้จักหนทางกลับวังเป็นอย่างดี

ส่วนเจ้าชายนั้น ก็ขี่ม้ากลับวังอย่างช้าๆ  วันนั้นอากาศร้อนมากทำให้น้ำในแม่น้ำทุกที่เหือดแห้งไปหมด  จนในที่สุด เจ้าชายก็มาพบสายน้ำเล็กๆ ที่ไหลลงมาตามก้อนหินแห่งหนึ่ง ด้วยความดีใจเป็นอย่างมาก เจ้าชายจึงรีบหยิบแก้วในย่ามของพระองค์ออกมารองหยดน้ำที่ค่อยๆ ไหลเอื่อยๆ ลงมานั้น

กว่าน้ำจะเต็มแก้ว ก็ใช้เวลาอยู่นานโข เจ้าชายซึ่งกระหายน้ำเป็นอย่างมาก เกือบจะทนรอให้น้ำเต็มแก้วแทบไม่ไหว  และแล้วในที่สุด น้ำก็ใกล้จะเต็มแก้วแล้ว  เจ้าชายก็หยิบแก้วขึ้นมาเพื่อจะดื่ม  แต่แล้วจู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างมาดันแก้วของเจ้าชายให้ตกลงบนพื้นไป เจ้าชายรู้สึกตกใจและอยากรู้ว่าใครช่างกล้านัก  เมื่อเจ้าชายรูปงามเหลือบตาขึ้นไปก็พบว่าเจ้าเหยี่ยวคู่กายของพระองค์เองที่ทำแบบนี้  เจ้าเหยี่ยวบินวนไปวนมาอยู่เหนือหัวเจ้าชายสักพักหนึ่ง แล้วก็ลงมาเกาะที่ก้อนหินก้อนที่น้ำไหลลงมานั่นเอง

เจ้าชายเมื่อเห็นดังนั้น ก็ไม่รอช้า รีบหยิบแก้วขึ้นมาเพื่อจะได้ไปรองน้ำนั้นอีกครั้ง คราวนี้ เจ้าชายไม่รอให้น้ำเต็มแก้วเหมือนครั้งแรก  เมื่อน้ำถึงแค่ครึ่งแก้วเท่านั้น เจ้าชายก็รีบยกแก้วเพื่อจะดื่มอีกครั้ง  แต่เจ้าเหยี่ยวก็คงดันแก้วที่เจ้าชายถืออยู่ให้ตกพื้นเหมือนดังเดิม  คราวนี้ เจ้าชายเริ่มรู้สึกโมโหเจ้าเหยี่ยวขึ้นมานิดๆ  แต่เจ้าชายก็ยังคงพยายามที่จะรองน้ำจากก้อนหินก้อนนั้นและพยายามจะยกแก้วขึ้นดื่มเป็นครั้งที่สาม และเหมือนเช่นเคย เจ้าเหยี่ยวก็ดันแก้วน้ำให้ตกพื้นไปอีกครั้ง

ครั้งนี้ เจ้าชายรูปงามรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก

แก กล้าดียังไง ถึงมาขัดขวางไม่ให้ข้าดื่มน้ำนะ เจ้าเหยี่ยว

ถ้าข้าจับเจ้าได้นะ ข้าจะฆ่าเจ้าทันทีเลย

พูดเสร็จ เจ้าชายก็เริ่มรองน้ำใส่แก้วอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เจ้าชายชูดาบขึ้นมาด้วยแล้วพูดว่า

ครั้งนี้ จะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับแกแล้วนะ เจ้าเหยี่ยว  เจ้าชายรูปงามพูดด้วยน้ำเสียงดุดันเมื่อเห็นเจ้าเหยี่ยวคู่กายกำลังบินตรงเข้ามาใกล้ๆ

ขณะที่ เจ้าชายรูปงามกำลังเงื้อมดาบจะฟันเจ้าเหยี่ยวนั้น พลันพระองค์ก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นว่า อย่าฟันเหยี่ยวพะย่ะค่ะ เจ้าชาย  

เจ้าชายรูปงามหยุดและมองไปที่ทหารองครักษ์คนหนึ่งที่กำลังวิ่งลงมาจากภูเขาที่เขาเพิ่งไปหาแหล่งน้ำมา และเป็นขณะเดียวกันกับที่ เจ้าเหยี่ยวคู่กายได้ดันแก้วน้ำของเจ้าชายตกลงพื้น

ทหารองครักษ์รายงานเจ้าชายด้วยน้ำเสียงกระหืบกระหอบว่า

น้ำที่พระองค์เห็นหยดมาจากก้อนหินนี้เป็นน้ำที่ไหลมาจากแหล่งน้ำที่อยู่บนยอดเขานั่น และแหล่งน้ำแห่งนี้เต็มไปด้วยเมล็ดพืชที่เป็นพิษซึ่งส่งกลิ่นเหม็นอบอวล เจ้าเหยี่ยวซึ่งได้กลิ่นนั้นจึงพยายามขัดขวางเจ้าชายไม่ให้ดื่มน้ำที่มีพิษนั้น ซึ่งถ้าหากเจ้าชายดื่มเข้าไปอาจจะทำให้เจ้าชายถึงตายได้พะย่ะค่ะ

เมื่อได้ฟังดังนั้น เจ้าชายรูปงามก็รู้สึกละอายใจเป็นอย่างมากที่แสดงความรู้สึกโกรธเกรี้ยวเจ้าเหยี่ยวคู่กายไปอย่างนั้น  และถ้าหากทหารองครักษ์ไม่มาห้ามไว้ทัน เจ้าชายคงฟันเจ้าเหยี่ยวตายไปแล้ว

เจ้าชายรูปงามลูบหัวเจ้าเหยี่ยวคู่กายและพูดขึ้นว่า

ไง เจ้าเหยี่ยวคู่กายของฉัน เจ้าพยายามจะช่วยชีวิตฉันโดยไม่กลัวว่าฉันกำลังจะฟันเจ้าให้ตายเลยนะ ฉันเองไม่ได้ฉุกคิดสักนิดเลยว่าที่เจ้าทำไปนั้น ทำไปเพราะอะไร

นั่นสิ จริงทีเดียว เวลาที่คนเราโกรธ มักจะไม่มีสติยั้งคิดอะไรเลย

ฉันได้เรียนรู้บทเรียนชีวิตที่ยิ่งใหญ่จากเจ้าก็วันนี้นี่เองว่า ..... อย่าทำอะไรด้วยความโกรธ สินะ”


เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/525373112756367090/

Wednesday, October 5, 2016

หนูนิดกับหนูหน่อย




ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง  มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ 2 คน ชื่อหนูนิดกับหนูหน่อย เป็นเพื่อนรักกันมาก เด็กทั้งสองมักจะเล่นด้วยกันเสมอ วันหนึ่ง ขณะที่ฝนเพิ่งหยุดตก เด็กสองคนก็ชวนกันออกไปเล่นที่สนามเด็กเล่นใกล้ๆ บ้าน 

ที่สนามเด็กเล่นขณะนั้นมีน้ำเจิ่งนองและเต็มไปด้วยโคลน  แต่เด็กทั้งสองก็ตรงรี่เข้าไปเล่นกระดานไม้กันสองคนด้วยความสนุก พอเล่นไปได้สักพัก หนูหน่อยก็ลุกจากกระดานไม้โดยไม่ทันให้หนูนิดตั้งตัว จึงทำให้หนูนิดเซล้มลงไปบนพื้น ทำให้ชุดของหนูนิดเลอะไปด้วยโคลนทั้งชุด

ขอโทษนะ หนูหน่อยกล่าว

แล้วเด็กทั้งสองก็เดินจูงมือกันกลับบ้านเพื่อจะไปล้างชุดที่เปื้อนโคลนนั้น 

แต่ยังไม่ทันได้ล้าง แม่ของหนูนิดเดินเข้ามาเห็นเข้า จึงถามหนูนิดว่า

ชุดลูกทำไมถึงเลอะโคลนแบบนี้ล่ะ?”

ด้วยความกลัวแม่จะตี หนูนิดจึงตอบไปว่า หนูไม่ได้เป็นคนทำนะคะ หนูหน่อยเป็นคนทำให้หนูล้มลงค่ะ

แม่ของหนูนิดก็ตรงไปกระชากเสื้อหนูหน่อยและเขย่าตัวหนูหน่อยด้วยความโมโห  หนูหน่อยร้องเสียงดังด้วยความเจ็บ  แม่หนูหน่อยได้ยินลูกตัวเองร้องเสียงดังลั่น จึงรีบวิ่งออกมาจากบ้าน และเอ่ยถามหนูหน่อยว่า

มีอะไรกันเหรอ ลูกร้องไห้ทำไม?

แม่หนูนิดทำให้หนูเจ็บค่ะ หนูหน่อยตอบ

แม่ของหนูหน่อยได้ยินดังนั้น ก็เข้าไปต่อว่าแม่ของหนูนิดในทันที จึงทำให้เกิดการโต้เถียง ทะเลาะกันใหญ่โต จนคนเกือบทั้งหมู่บ้านเข้ามามุงดูคนทั้งสองทะเลาะกัน 

ถึงแม้ผู้ใหญ่บ้านจะพยายามห้ามปรามเท่าไหร่  คนทั้งสองก็ไม่ยอมหยุดทะเลาะกัน

ในขณะเดียวกัน  หนูนิดและหนูหน่อยก็จูงมือกันวิ่งหลบไปจากผู้คนที่กำลังมุงดูอยู่และไปเล่นที่กระดานไม้เหมือนเดิม เด็กทั้งสองเล่นกันด้วยความสนุกสนาน
 
ผู้ใหญ่บ้านเมื่อได้เห็นดังนั้น จึงชี้ให้แม่ของหนูนิดและแม่ของหนูหน่อยดูและพูดขึ้นว่า

ดูเด็กสองคนนั่นสิ ก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม แต่ดูแม่ๆ สิ ทะเลาะกันอย่างเอาเป็นเอาตายเลยนะ

เมื่อแม่ของหนูนิดและแม่ของหนูหน่อยได้ยินดังนั้น ก็หยุดทะเลาะในทันที และมองไปที่เด็กทั้งสองซึ่งกำลังเล่นกันด้วยเสียงหัวเราะที่มีแต่ความสุข  แม่ของเด็กทั้งสองก็รู้สึกละอายแก่ใจเป็นอย่างยิ่ง

ในวันนั้น  แม่ของเด็กทั้งสองได้เรียนรู้แล้วว่า การทะเลาะกันเป็นเรื่องที่โง่เขลาจริงๆ และสุดท้ายแล้วไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย

เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/476748310524425078/