กาลครั้งหนึ่ง มีเจ้าชายรูปงามองค์หนึ่ง
โปรดปรานกับการล่าสัตว์ในป่าเป็นอย่างมาก เวลาที่พระองค์ออกไปที่แห่งใดก็ตาม จะมีเหยี่ยวคู่กายเกาะอยู่ข้างๆ
พระองค์เสมอ เหยี่ยวคู่กายตัวนี้ ได้รับการฝึกให้ล่าสัตว์ได้เป็นอย่างดีและคงรักในการล่าสัตว์เหมือนเจ้าชายรูปงามนั่นเอง
อยู่มาวันหนึ่ง
เจ้าชายรูปงามเสด็จออกไปล่าสัตว์ในป่าแต่เช้ามืดพร้อมด้วยทหารองครักษ์นับสิบ
และแน่นอนว่า ต้องมีเหยี่ยวคู่กายของเจ้าชายเกาะอยู่ที่แขนในขณะที่พระองค์ขี่ม้าในป่าลึก แต่ในวันนั้นทั้งวัน
เจ้าชายไม่สามารถล่าสัตว์ได้เลยสักตัวเดียว ดังนั้น
เจ้าชายจึงตัดสินใจออกเดินทางกลับวัง
แต่เนื่องจากอากาศในวันนั้นร้อนอบอ้าวจริงๆ ทำให้เจ้าชายรูปงามรู้สึกกระหายน้ำเป็นอย่างมาก ในตอนนั้นเอง เหยี่ยวคู่กายของพระองค์ผละจากแขนของเจ้าชายและบินออกไป
ซึ่งคงไม่ต้องห่วงอะไรเพราะเจ้าเหยี่ยวคงรู้จักหนทางกลับวังเป็นอย่างดี
ส่วนเจ้าชายนั้น ก็ขี่ม้ากลับวังอย่างช้าๆ วันนั้นอากาศร้อนมากทำให้น้ำในแม่น้ำทุกที่เหือดแห้งไปหมด จนในที่สุด เจ้าชายก็มาพบสายน้ำเล็กๆ ที่ไหลลงมาตามก้อนหินแห่งหนึ่ง
ด้วยความดีใจเป็นอย่างมาก เจ้าชายจึงรีบหยิบแก้วในย่ามของพระองค์ออกมารองหยดน้ำที่ค่อยๆ
ไหลเอื่อยๆ ลงมานั้น
กว่าน้ำจะเต็มแก้ว ก็ใช้เวลาอยู่นานโข เจ้าชายซึ่งกระหายน้ำเป็นอย่างมาก
เกือบจะทนรอให้น้ำเต็มแก้วแทบไม่ไหว
และแล้วในที่สุด น้ำก็ใกล้จะเต็มแก้วแล้ว
เจ้าชายก็หยิบแก้วขึ้นมาเพื่อจะดื่ม
แต่แล้วจู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างมาดันแก้วของเจ้าชายให้ตกลงบนพื้นไป
เจ้าชายรู้สึกตกใจและอยากรู้ว่าใครช่างกล้านัก
เมื่อเจ้าชายรูปงามเหลือบตาขึ้นไปก็พบว่าเจ้าเหยี่ยวคู่กายของพระองค์เองที่ทำแบบนี้ เจ้าเหยี่ยวบินวนไปวนมาอยู่เหนือหัวเจ้าชายสักพักหนึ่ง
แล้วก็ลงมาเกาะที่ก้อนหินก้อนที่น้ำไหลลงมานั่นเอง
เจ้าชายเมื่อเห็นดังนั้น ก็ไม่รอช้า
รีบหยิบแก้วขึ้นมาเพื่อจะได้ไปรองน้ำนั้นอีกครั้ง คราวนี้
เจ้าชายไม่รอให้น้ำเต็มแก้วเหมือนครั้งแรก
เมื่อน้ำถึงแค่ครึ่งแก้วเท่านั้น เจ้าชายก็รีบยกแก้วเพื่อจะดื่มอีกครั้ง แต่เจ้าเหยี่ยวก็คงดันแก้วที่เจ้าชายถืออยู่ให้ตกพื้นเหมือนดังเดิม คราวนี้ เจ้าชายเริ่มรู้สึกโมโหเจ้าเหยี่ยวขึ้นมานิดๆ แต่เจ้าชายก็ยังคงพยายามที่จะรองน้ำจากก้อนหินก้อนนั้นและพยายามจะยกแก้วขึ้นดื่มเป็นครั้งที่สาม
และเหมือนเช่นเคย เจ้าเหยี่ยวก็ดันแก้วน้ำให้ตกพื้นไปอีกครั้ง
ครั้งนี้ เจ้าชายรูปงามรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก
“แก กล้าดียังไง ถึงมาขัดขวางไม่ให้ข้าดื่มน้ำนะ
เจ้าเหยี่ยว”
“ถ้าข้าจับเจ้าได้นะ ข้าจะฆ่าเจ้าทันทีเลย”
พูดเสร็จ เจ้าชายก็เริ่มรองน้ำใส่แก้วอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ เจ้าชายชูดาบขึ้นมาด้วยแล้วพูดว่า
“ครั้งนี้
จะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับแกแล้วนะ เจ้าเหยี่ยว” เจ้าชายรูปงามพูดด้วยน้ำเสียงดุดันเมื่อเห็นเจ้าเหยี่ยวคู่กายกำลังบินตรงเข้ามาใกล้ๆ
ขณะที่ เจ้าชายรูปงามกำลังเงื้อมดาบจะฟันเจ้าเหยี่ยวนั้น
พลันพระองค์ก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นว่า “อย่าฟันเหยี่ยวพะย่ะค่ะ เจ้าชาย”
เจ้าชายรูปงามหยุดและมองไปที่ทหารองครักษ์คนหนึ่งที่กำลังวิ่งลงมาจากภูเขาที่เขาเพิ่งไปหาแหล่งน้ำมา
และเป็นขณะเดียวกันกับที่ เจ้าเหยี่ยวคู่กายได้ดันแก้วน้ำของเจ้าชายตกลงพื้น
ทหารองครักษ์รายงานเจ้าชายด้วยน้ำเสียงกระหืบกระหอบว่า
“น้ำที่พระองค์เห็นหยดมาจากก้อนหินนี้เป็นน้ำที่ไหลมาจากแหล่งน้ำที่อยู่บนยอดเขานั่น
และแหล่งน้ำแห่งนี้เต็มไปด้วยเมล็ดพืชที่เป็นพิษซึ่งส่งกลิ่นเหม็นอบอวล เจ้าเหยี่ยวซึ่งได้กลิ่นนั้นจึงพยายามขัดขวางเจ้าชายไม่ให้ดื่มน้ำที่มีพิษนั้น ซึ่งถ้าหากเจ้าชายดื่มเข้าไปอาจจะทำให้เจ้าชายถึงตายได้พะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ฟังดังนั้น
เจ้าชายรูปงามก็รู้สึกละอายใจเป็นอย่างมากที่แสดงความรู้สึกโกรธเกรี้ยวเจ้าเหยี่ยวคู่กายไปอย่างนั้น และถ้าหากทหารองครักษ์ไม่มาห้ามไว้ทัน
เจ้าชายคงฟันเจ้าเหยี่ยวตายไปแล้ว
เจ้าชายรูปงามลูบหัวเจ้าเหยี่ยวคู่กายและพูดขึ้นว่า
“ไง
เจ้าเหยี่ยวคู่กายของฉัน
เจ้าพยายามจะช่วยชีวิตฉันโดยไม่กลัวว่าฉันกำลังจะฟันเจ้าให้ตายเลยนะ
ฉันเองไม่ได้ฉุกคิดสักนิดเลยว่าที่เจ้าทำไปนั้น ทำไปเพราะอะไร”
“นั่นสิ
จริงทีเดียว เวลาที่คนเราโกรธ มักจะไม่มีสติยั้งคิดอะไรเลย”
“ฉันได้เรียนรู้บทเรียนชีวิตที่ยิ่งใหญ่จากเจ้าก็วันนี้นี่เองว่า
..... อย่าทำอะไรด้วยความโกรธ สินะ”
เครดิตภาพ https://www.pinterest.com/pin/525373112756367090/
No comments:
Post a Comment