Sunday, January 19, 2025

กากับสุนัขจิ้งจอก



กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกาอยู่ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในป่าใหญ่ วันหนึ่งมันได้เจอเนื้อชิ้นหนึ่งอยู่ตรงพื้นดินใต้ต้นไม้ มันจึงบินตรงไปคาบเนื้อชิ้นนั้น แล้วบินขึ้นไปเกาะยังกิ่งไม้


ขณะนั้นเอง ได้มีสุนัขจิ้งจอกหิวโซตัวหนึ่งซึ่งกำลังเดินหาอาหารอยู่ ผ่านมาตรงที่กาเกาะ เมื่อมันมองเห็นเนื้อที่กากำลังคาบอยู่ มันก็อยากกินเนื้อชิ้นนั้นเป็นอย่างมาก แต่ไม่สามารถปีนขึ้นต้นไม้ไปเอาชิ้นเนื้อนั้นจากกามาได้


สุนัขจิ้งจอกต้องการให้กาอ้าปากเพื่อที่เนื้อชิ้นนั้นจะได้หลุดออกมาจากปากกา มันจึงคิดอุบายโดยพูดขึ้นว่า


“สวัสดี คุณกาแสนสวย คุณร้องเพลงได้หรือไม่”


การู้สึกปลื้มอกปลื้มใจเป็นอย่างมาก จึงตอบสุนัขจิ้งจอกไปในทันใดว่า “ได้สิ”


และแล้วทันทีที่กาอ้าปากพูด เนื้อชิ้นนั้นก็หล่นลงสู่พื้นดิน


และกาก็ยังพูดต่ออีกว่า “ฟังนะ ฉันกำลังจะร้องเพลงล่ะน๊า” 


จากนั้น กาก็เริ่มร้องเพลง แต่ในตอนนั้นกาหารู้ไม่ว่า สุนัขจิ้งจอกไม่ได้อยู่ฟังที่การ้องเพลง มันได้คาบชิ้นเนื้อและหนีกาไปแล้วนั่นเอง



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนโง่ย่อมตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด

เครดิตภาพ

Tuesday, December 17, 2024

พระอาทิตย์กับรุ้งกินน้ำ



กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วเมื่อโลกยังเพิ่งถือกำเนิด ทุกสรรพสิ่งล้วนแต่มีความสุขและทุกอย่างก็มีความสมบูรณ์แบบเป็นอย่างยิ่ง ยกเว้นรุ้งกินน้ำ 


รุ้งกินน้ำนั้นไม่เคยมีความสุขเลยเพราะเธอติดอยู่บนก้อนเมฆและท้องฟ้าตลอดเวลา จึงไม่มีใครเคยสังเกตเห็นเธอเลย อยู่มาวันหนึ่งเธอก็คิดได้ว่า ที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเธอนั้นเพราะตัวเธอมีเพียงสีดำและสีขาวเท่านั้น 


และแล้ววันหนึ่ง รุ้งกินน้ำจึงได้ตัดสินใจเดินทางไปหาพระอาทิตย์


หลังจากการเดินทางอันยาวนาน รุ้งกินน้ำก็ได้เดินทางไปถึงพระอาทิตย์ และเมื่อพระอาทิตย์ได้เห็นรุ้งกินน้ำ พระอาทิตย์จึงร้องถามรุ้งกินน้ำว่า 


“สวัสดี มีอะไรให้เราช่วยไหม”


“เอ่อ…” รุ้งกินน้ำพูดขึ้นอย่างลังเล “ฉันไม่แน่ใจว่าท่านจะช่วยระบายสีลงบนตัวของฉันได้ไหม”


พระอาทิตย์ตอบรุ้งกินน้ำไปว่า “ดีเลย เธอจะได้มีสีสันบนตัวกับเขาบ้าง”


พระอาทิตย์จึงได้ยื่นมือออกไปที่รุ้งกินน้ำ และรุ้งกินน้ำก็จับมือกับพระอาทิตย์ จากนั้นสีดำและสีขาวของรุ้งกินน้ำก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นสีสันที่สวยงาม: เขียว แดง เหลือง ส้ม น้ำเงิน และแทบทุกสีบนโลกใบนี้ 


รุ้งกินน้ำ รู้สึกมีความสุขมากและเธอเปล่งประกายอย่างสดใสและคนทั้งโลกได้มองเห็นเธอแล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้คนบนโลกก็จะได้เห็นรุ้งกินน้ำเปล่งประกายสวยงามหลังฝนตก


เครดิตภาพ:

https://www.pinterest.com/pin/10766486605669604/


Saturday, September 14, 2024

กระต่ายตื่นตูม



กาลครั้งหนึ่ง มีกระต่ายน้อยตัวหนึ่งกำลังนอนหลับฝันหวานสบายๆ อยู่ใต้ต้นตาลในป่าใหญ่ ในขณะที่เจ้ากระต่ายน้อยนอนหลับเพลินๆ อยู่นั้น ได้เกิดลมพายุใหญ่ขึ้น ซึ่งได้ทำให้ลูกตาลบนต้นหล่นตูมลงมาบนใบตาลที่กองสุมอยู่บนพื้นดินเสียงดังสนั่น ลูกตาลเกือบทับเจ้ากระต่ายน้อย ทำให้เจ้ากระต่ายน้อยตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ ไม่ทันได้ตริตรอง คิดว่าฟ้าถล่ม จึงลุกขึ้นวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวความตาย


บรรดาสัตว์ต่างๆ ในป่า เช่น เสือ ช้าง กวาง  เห็นเจ้ากระต่ายน้อยวิ่งมา จึงถามเจ้ากระต่ายน้อยไปว่า


"ท่านวิ่งหนีอะไรมา"

เจ้ากระต่ายน้อย วิ่งพลาง บอกพลางว่า "ฟ้าถล่ม"


สัตว์เหล่านั้นได้ฟังเจ้ากระต่ายน้อย ไม่ทันได้ตริตรอง คิดว่าฟ้าถล่มจริงๆ ก็พากันวิ่งตามเจ้ากระต่ายน้อยไป บ้างก็หกล้ม ขาหัก แข้งหัก ชนต้นไม้ ตกเหวตายบ้างก็มี ส่วนสัตว์ที่เหลืออยู่ก็พากันวิ่งหนีต่อไปอีก



จนมาพบราชสีห์ตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นสัตว์เจ้าปัญญา เห็นสัตว์ต่างๆ วิ่งมาไม่หยุดหย่อน จึงร้องถามไปว่า...


“เหตุใดพวกท่านจึงพากันวิ่งจนชนกันล้มตายขนาดนี้”


สัตว์เหล่านั้นกลัวอำนาจราชสีห์ก็ต้องหยุด และเล่าความที่เจ้ากระต่ายน้อยแจ้งแก่พวกสัตว์เหล่านั้นให้ราชสีห์ฟัง ราชสีห์นั้นก็เข้าใจทันทีว่า สัตว์เหล่านั้นคงจะตื่นอะไรมาสักอย่างหนึ่ง จึงถามต่อไปว่า 


“ฟ้าถล่มที่ตรงไหน จงพาเราไปดูสักที”


ถึงแม้ว่า สัตว์เหล่านั้นกลัวตายจนตัวสั่น แต่ก็ไม่กล้าขัดอำนาจของราชสีห์ จึงต้องพาราชสีห์ไป เมื่อไปถึงใต้ต้นตาลที่เจ้ากระต่ายน้อยนอน ราชสีห์ก็พิเคราะห์ดู เห็นลูกตาลหล่นอยู่ที่โคนต้น ก็เข้าใจว่า ผลตาลนั้นหล่นลงมา แล้วเจ้ากระต่ายน้อยก็คิดว่าฟ้าถล่ม เลยตกใจวิ่งหนีไป บรรดาสัตว์ทั้งหลายที่ไม่มีปัญญาตริตรอง ก็พากันหลงเชื่อเจ้ากระต่ายน้อยวิ่งเตลิดไปจนชนกัน แข้ง ขา คอ หัก ตกเหวตาย 


บรรดาสัตว์ทั้งหลายที่พากันได้รับทุกขเวทนาในครั้งนี้ ก็เพราะเป็นผู้ขลาดเขลาปัญญา หาตริตรองมิได้ 


คติจากนิทานเรื่องนี้ :  เตือนใจให้คนเรารู้จักใช้สติปัญญาไตร่ตรอง ไม่ให้ตื่นตกใจต่อเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง และเชื่อคนง่าย โดยไม่คิดใคร่ครวญถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนั้นๆ ให้ชัดเจนและรอบคอบก่อน



 

Tuesday, July 30, 2024

ลิงน้อยแสนซนกับรังมดแดง



ในป่าแห่งหนึ่ง มีลิงตัวน้อยที่แสนซนตัวหนึ่ง ชอบปีนป่ายต้นไม้เล่นไปเรื่อยๆ อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าลิงน้อยแสนซนตัวนี้ ปีนขี้นไปบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งมีรังมดแดงรังใหญ่อยู่บนกิ่งไม้


ด้วยความแสนซน เจ้าลิงน้อยก็กระโดดเข้าไปดึงรังมดแดงเล่น 


เมื่อมดแดงเห็นเช่นนั้น จึงบอกกับเจ้าลิงน้อยแสนซนว่า 


“อย่าดึงรังของเรา”


แต่เจ้าลิงน้อยแสนซน ไม่เชื่อฟัง แถมยังคงดึงรังมดแดงเล่นต่อไป


มดแดงกับพวกพ้องจึงพากันออกจากรังมารุมกัดเจ้าลิงน้อยแสนซน 


เจ้าลิงน้อยแสนซนรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก จึงรีบหนีไป


และทำให้มันตั้งใจว่าจะไม่ดึงรังมดแดงเล่นอีกเลยนับจากนี้ไป


cr. pic.

https://www.pinterest.com/pin/429671620703452000/


Tuesday, May 26, 2020

บทเรียนของคนขี้เกียจ




กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายคนหนึ่ง อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไปจากตัวเมือง เขาเป็นคนขยันขันแข็ง อดทน อดออม จึงทำให้เขาสามารถเก็บสะสมเงินออมเอาไว้ได้มากมาย และกลายเป็นเศรษฐีในที่สุด

เศรษฐีคนนี้ มีลูกชายอยู่คนหนึ่ง แต่ลูกชายของเขานั้นเป็นคนขี้เกียจ ไม่ยอมออกไปทำงานหาเงิน ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ เพราะเห็นว่าพ่อของเขาเป็นเศรษฐี มีเงินทองมากมายอยู่แล้ว 

เมื่อเป็นดังนั้น เศรษฐีคนนี้เลยตัดสินใจว่า จะต้องสั่งสอนบทเรียนให้ลูกชายของเขาสักหน่อย 

แล้วเวลาก็ได้ผ่านพ้นไป จนถึงตอนจะสิ้นอายุขัยของเศรษฐี เศรษฐีได้เรียกลูกชายคนเดียวของเขาเข้ามาสั่งเสียว่า 

“ลูกเอ๋ย มรดกอันล้ำค่า บัดนี้ ถูกฝังอยู่ในสวนหลังบ้านของพ่อ ถ้าเจ้าอยากได้ ก็จงขุดเอาไปเถิด”

หลังจากจัดการเผาศพพ่อเรียบร้อยแล้ว ลูกชายของเศรษฐีก็นำจอบเสียมและไถเที่ยวขุดค้นไปทั่วทั้งสวนหลังบ้านด้วยความตั้งอกตั้งใจ ไม่ย่อท้อ วนเวียนขุดค้นอยู่หลายตลบ หวังว่าจะได้เงินของพ่อ แล้วใช้ชีวิตอยู่ไปอย่างสบาย ไม่ต้องทำงานหาเงินเอง 

แต่ไม่ว่าลูกของเศรษฐีจะขุดค้นสวนนี้ไปนานแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถหามรดกที่พ่อสั่งไว้ นานจนตกเย็น มีคนรับใช้ของเศรษฐีนำกล่องจดหมายของเศรษฐีมาให้ลูกชายดู พอเขาเปิดดูจดหมาย เขาก็ได้ทราบว่า พ่อของเขานั้นได้นำเงินทั้งหมดไปบริจาคให้ชาวบ้านหมดแล้ว ส่งผลให้ลูกชายเของเศรษฐีนั้นรู้สึกตัวว่า สิ่งที่ตัวเองทำไปนั้นสูญเปล่า 

ตั้งแต่นั้นมา ลูกชายของเศรษฐีก็ต้องก้มหน้าก้มตาทำงานหาเงินอย่างหนักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงชีพตัวเขาเอง


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 

ผู้ที่ไม่มีความขยัน อดทน และมีความโลภมาก ไม่มีวันเจริญ

เครดิตภาพ

Friday, November 29, 2019

มดกับตั๊กแตน



          นิทานอีสป มดกับตั๊กแตน นิทานสอนใจที่จะช่วยสอนให้เด็ก ๆ รู้จักการแบ่งเวลาให้เป็น

          วิธีสอนลูกรักให้รู้จักกับการแบ่งเวลาเล่นและเวลาเรียนออกจากกันอย่างเหมาะสม นับว่าเป็นเรื่องที่ทำให้คุณแม่หลายคนรู้สึกปวดหัวอยู่ไม่น้อย เพราะด้วยวัยที่ยังเด็กมาก หากสอนเขาไปแบบตรง ๆ คงไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไรนัก แต่ถ้าเปลี่ยนมาใช้วิธีใหม่อย่างการเล่านิทานพร้อมแง่คิดคงช่วยสอนเด็ก ๆ ได้ดีทีเดียว อย่าง นิทานอีสป  มดกับตั๊กแตน ซึ่งให้ข้อคิดเรื่องการแบ่งเวลาแถมมีเนื้อหาสนุกสนานฟังได้แบบเพลิดเพลิน คุณแม่คนไหนอยากสอนลูก ๆ ในเรื่องการแบ่งเวลาผ่านนิทานบ้างก็ตามมาอ่าน นิทานอีสป มดกับตั๊กแตน ได้เลย 

            กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ บริเวณทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ มีครอบครัวมดฝูงเล็กอาศัยอยู่รวมกันใต้โพรงดินขนาดกำลังพอเหมาะ ซึ่งข้าง ๆ โพรงดินนั้นคือขอนไม้เก่าที่ตั๊กแตนเจ้าสำราญใช้พักอาศัยเช่นกัน

           ในช่วงฤดูร้อนที่ผลผลิตพืชพรรณงอกงามออกรวงมากมาย สมาชิกบ้านมดทั้งหลายต่างขยันขันแข็งเก็บเกี่ยวพืชเหล่านั้นมาตุนไว้สำหรับหน้าหนาว ส่วนเจ้าตั๊กแตนกลับเอาแต่เล่นดนตรีอย่างเพลิดเพลิน และแปลกใจว่าทำไมฝูงมดต้องขยันถึงเพียงนี้ เมื่อเห็นเช่นนั้นตั๊กแตนจึงแวะไปสอบถาม

          "ฝูงมดตัวน้อยเอ๋ย พวกเธอจะเร่งทำงานเก็บพืชพรรณไปทำไมกันมากมาย" ตั๊กแตนเอ่ย

          "ก็เก็บไว้กินตลอดฤดูหนาวน่ะสิ" เสียงของมดซึ่งเป็นหัวหน้าตอบกลับพลางเก็บเกี่ยวพืชพรรณไปด้วย

          "โห ! ฤดูหนาวเลยหรือ อีกนานเลยนะ เพราะนี่ก็เพิ่งจะเข้าหน้าร้อนเอง" เจ้าตั๊กแตนพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

          "ก็เราเก็บเกี่ยวตอนนี้ ฤดูหนาวจะได้มีอาหารกินอย่างอุดมสมบูรณ์แถมได้พักผ่อนแบบเต็มที่ไงล่ะ" หัวหน้ามดอธิบาย

          "แต่เที่ยวเล่นพักผ่อนในฤดูร้อนก็สนุกไปอีกแบบนะ ทำไมจะต้องรอถึงหน้าหนาวด้วย" เสียงตั๊กแตนโต้กลับ "เอาเถอะ ฉันขอกลับบ้านไปเล่นดนตรี เต้นรำ ก่อนแล้วกันนะ"
 
          ตั๊กแตนเดินกลับไปอย่างสบายใจไม่เดือดร้อน ส่วนฝูงมดก็ทำหน้าที่ของตนอย่างแข็งขัน


          เวลาผ่านไปไม่นานนัก ลมหนาวเย็นยะเยือกก็มาเยือน เป็นสัญญาณเตือนว่าเข้าสู่ฤดูหนาวแล้วนั่นเอง ในขณะเดียวกันผลไม้พืชพรรณที่เคยงอกเงยต่างโรยรา จะหาอาหารมากินแทบไม่มี แต่ถึงอย่างไรฝูงมดก็ไม่เดือดร้อน เพราะพวกมันเก็บตุนของกินไว้แล้วมากมาย

          "ดีนะเนี่ยที่เราเก็บอาหารเอาไว้เยอะแยะ คราวนี้จะได้กินแบบไม่ต้องกลัวอด" มดตัวเล็กเอ่ยขึ้นมา

          "ใช่ ๆ ต้องขอบคุณพวกเราจริง ๆ ที่ขยันขันแข็งอดทนทำงานทำให้เรามีกินในวันนี้" หัวหน้ามดประกาศขอบคุณท่ามกลางความยินดีของมดทุกตัว

          ก๊อก ก๊อก ก๊อก ! !... เสียงเคาะประตูหน้าโพรงมดดังขึ้น "สงสัยมีแขกมาเยี่ยมหรือเอาอาหารมาแลกเป็นแน่" มดตัวเล็กพูดแล้วเดินไปเปิดประตู

          หน้าประตูนั้นคือตั๊กแตนเจ้าสำราญผู้พักอาศัยอยู่ข้าง ๆ ที่เคยมีท่าทางสดใสร่าเริง แต่คราวนี้ ตั๊กแตนกลับยืนก้มหน้าด้วยความหิวโซ พอประตูเปิดจึงรีบเดินตรงมาหาหัวหน้ามดที่เคยสนทนาด้วยทันที
          "สวัสดีมดเอ๋ย ฉันหิวเหลือเกินไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน พอจะมีอาหารแบ่งฉันบ้างไหม" ตั๊กแตนขอร้อง

          "อะไรกัน บ้านเธอไม่มีอะไรกินเลยหรือ ช่วงฤดูร้อนผลผลิตออกจะอุดมสมบูรณ์" หัวหน้ามดถามด้วยความสงสัย
          "ฉันมัวแต่ยุ่งกับการเล่นดนตรีและเต้นรำ เลยไม่มีเวลามานั่งทำงานกักตุนอาหารไว้กินอย่างเธอ" คำแก้ตัวของตั๊กแตน

          "อะไรกัน ! นี่เธอไม่ทำงานเลยเหรอ มัวแต่เล่นดนตรีสนุกสนานเนี่ยนะ" หัวหน้ามดตวาด ด้านตั๊กแตนก็ทำหน้าเจื่อนโดยไม่มีคำตอบโต้ "ถ้าเธอไม่รู้จักแบ่งเวลาเล่นกับเวลาทำงาน ฉันก็คงปันอาหารให้เธอไม่ได้ เจ้ากลับไปเถอะ"

          พอสิ้นคำพูดของหัวหน้ามด เจ้าตั๊กแตนเลยเดินกลับบ้านไปแบบหิวโหย ส่วนฝูงมดก็พักผ่อนแบบสำราญกับอาหารที่ตุนมาจากช่วงหน้าร้อน


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :

          คนเราควรจะรู้จักหน้าที่ของตัวเอง เวลาไหนควรทำงาน เวลาไหนควรเล่น  หากมัวแต่เล่นไม่ยอมทำงานเลย สักวันหนึ่งชีวิตอาจเจอเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจจนหันไปพึ่งใครไม่ได้ เพราะเราไม่ยอมทำงานเพื่อหาเลี้ยงและยืนบนลำแข้งของตนนั่นเอง

Saturday, September 21, 2019

หนูบ้านกับหนูนา


          ในเช้าอันสดใสวันหนึ่ง หนูบ้านที่อาศัยอยู่ในตัวเมืองอันแสนวุ่นวายได้ออกเดินทางไปเยี่ยมหนูนาที่ชนบท ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้กลับไปที่นั่นมานานหลายปี มันเดินรอนแรมแบบไม่พักจนตะวันตกดิน ในที่สุดก็มาถึงบ้านของหนูนา ทั้ง 2 เจอหน้ากันก็เข้ามาโผกอดทักทายอย่างดีใจ

          "พี่หนูบ้าน เป็นอย่างไรบ้าง ฉันคิดถึงพี่เหลือเกินไม่ได้พบกันตั้งหลายปี" หนูนากล่าวทักอย่างอารมณ์ดี

          "พี่สบายดีน้องหนูนา กินอิ่มอยู่สบาย อยู่ในเมืองจะทำอะไรก็สะดวกไปหมด" หนูบ้านตอบแบบภูมิใจ

          "ดีจริงที่ได้ยินอย่างนั้น... มา ๆ เข้าบ้านกันก่อนพี่ ฉันเตรียมอาหารไว้มากมาย พี่เหนื่อยมาทั้งวันคงหิวแย่" หนูนาเชิญชวนให้เข้ามาข้างในโพรงไม้ริมชายนาน่าพักผ่อนของตน

          พอเข้ามาในโพรงไม้ อาหารที่หนูนาจัดไว้อย่างดีกลับมีเพียงข้าวสาร ธัญพืชและผลไม้เพียงเล็กน้อย ไม่ได้มีอาหารน่ากินเหมือนที่หนูเมืองคิดเอาไว้

          "โธ่ หนูนาน้องพี่ นี่เธอกินอาหารพวกนี้ไปได้อย่างไรกัน วัน ๆ ไม่เคยได้กินของที่ดีกว่านี้เลยหรือไร" หนูบ้านหันมาถามหนูนาด้วยสีหน้าแสนห่วงใย

          "ฉันว่านี่ก็ดีแล้วนะพี่ อาหารแต่ละอย่างคุณภาพดี ๆ ทั้งนั้น ขนาดคนเมืองยังมารับไปขายเลย" เสียงของหนูนาตอบกลับแบบแผ่วเบา ด้วยความรู้สึกอายที่ว่าอาหารนั้นไม่ถูกใจแขกผู้มาเยือน

          "เอาอย่างนี้ เดี๋ยวเราเข้าเมืองไปเที่ยวบ้านพี่กัน รับรองว่าจะมีของกินคุณภาพดีมากมายให้เธอได้กินอย่างสุขสบาย" พอหนูนาพูดจบ ทั้ง 2 ก็กินอาหารแล้วเข้านอน เมื่อพระอาทิตย์ฉายแสงมา พวกเขาจึงออกเดินทางไปยังในเมืองทันที

          เมื่อถึงบ้านในเมืองอันแสนคับแคบแต่เต็มไปด้วยข้าวของทันสมัย หนูนาที่เพิ่งเข้ามาในเมืองครั้งแรกก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยว่าพี่หนูบ้านไม่อึดอัดหรืออย่างไร ที่ต้องอยู่แค่ในรูแสนคับแคบของชุมชนเมืองแบบนี้

          หลังจากนั่งได้สักพักหนูบ้านก็ถืออาหารละลานตามาพร้อมเสิร์ฟต้อนรับแขก มีทั้งขนมเค้ก ชีส นม เนย อาหารอย่างดีแบบที่หนูนาไม่เคยเห็นมาก่อน "โอ้โห ! พี่หนูบ้าน พี่ได้กินของดีอย่างนี้ทุกวันเลยหรือจ๊ะ" หนูนาร้องออกมาด้วยเสียงตื่นเต้น

           "ใช่แล้วน้องพี่ ก็เธออยู่ชนบทได้กินแต่ของไม่ดี อยู่ในเมืองแบบพี่นี่สิ ชีวิตที่ใคร ๆ ก็อยากมีกัน" หนูบ้านพูดจบก็มีเสียงแปลก ๆ ดังขึ้นมาทันที "เหมียว เหมียว !"
    
          "นั่นเสียงอะไรหรือพี่" หนูนาถามอย่างกังวล

          "คงเป็นเสียงดนตรีแหละมั้ง คนแถวนี้เขาชอบฟังเพลงกัน ช่างเถอะนะหนูนาน้องพี่ เรามากินอาหารกันเถอะ" หนูบ้านกับหนูนากินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย แต่เสียงร้องเหมียว ๆ ก็ใกล้เข้ามาทุกที

          ทันใดนั้นเอง แมวร่างใหญ่ก็โผล่เข้ามาข้างโต๊ะอาหาร หนู 2 ตัวต่างวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงด้วยความตกใจ หนูนาวิ่งไปซ่อนตัวในถังขยะอันเหม็นเน่า นั่งตัวสั่นเทาตรงนั้นหลายชั่วโมงแล้วค่อยกล้าเดินออกมา

          "น้องหนูนา !" เสียงหนูบ้านตะโกนดังลั่นมาแต่ไกลเมื่อได้เห็นหน้าหนูนา "ไปหลบที่ไหนมา พี่นึกว่าโดนเจ้าแมวนั่นคาบไปเสียแล้ว"

          "ฉันหลบอยู่ที่ถังขยะเหม็นเน่ามา ฉันกลัวเหลือเกินพี่ อยากกลับบ้านเต็มทีแล้ว" หนูนาตอบด้วยเสียงสั่นเครือ

          "แต่ที่นี่มีของดี ๆ รอให้เธอมากินอีกมากมายเลยนะ" หนูบ้านกล่าวรั้งไว้

          "ของดีแค่ไหนฉันก็กินไม่ลงหรอกพี่ ขอตัวกลับบ้านไปกินของเท่าที่มีแต่รู้สึกสบายใจในชนบทจะดีกว่า" พูดจบหนูนาก็เดินกลับชนบท ทิ้งให้หนูบ้านอยู่อย่างหวาดหวั่นที่เขตเมืองต่อไป


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :

          สิ่งไหนที่เรามีแล้วรู้สึกสบายใจที่ได้ครอบครองย่อมนำความสุขมาสู่ชีวิตเสมอ แต่สิ่งใดที่มีแล้วหวาดหวั่นทุกครั้งนั่นคือความทุกข์ ดังนั้นเราควรพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว