Saturday, September 21, 2019

หนูบ้านกับหนูนา


          ในเช้าอันสดใสวันหนึ่ง หนูบ้านที่อาศัยอยู่ในตัวเมืองอันแสนวุ่นวายได้ออกเดินทางไปเยี่ยมหนูนาที่ชนบท ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้กลับไปที่นั่นมานานหลายปี มันเดินรอนแรมแบบไม่พักจนตะวันตกดิน ในที่สุดก็มาถึงบ้านของหนูนา ทั้ง 2 เจอหน้ากันก็เข้ามาโผกอดทักทายอย่างดีใจ

          "พี่หนูบ้าน เป็นอย่างไรบ้าง ฉันคิดถึงพี่เหลือเกินไม่ได้พบกันตั้งหลายปี" หนูนากล่าวทักอย่างอารมณ์ดี

          "พี่สบายดีน้องหนูนา กินอิ่มอยู่สบาย อยู่ในเมืองจะทำอะไรก็สะดวกไปหมด" หนูบ้านตอบแบบภูมิใจ

          "ดีจริงที่ได้ยินอย่างนั้น... มา ๆ เข้าบ้านกันก่อนพี่ ฉันเตรียมอาหารไว้มากมาย พี่เหนื่อยมาทั้งวันคงหิวแย่" หนูนาเชิญชวนให้เข้ามาข้างในโพรงไม้ริมชายนาน่าพักผ่อนของตน

          พอเข้ามาในโพรงไม้ อาหารที่หนูนาจัดไว้อย่างดีกลับมีเพียงข้าวสาร ธัญพืชและผลไม้เพียงเล็กน้อย ไม่ได้มีอาหารน่ากินเหมือนที่หนูเมืองคิดเอาไว้

          "โธ่ หนูนาน้องพี่ นี่เธอกินอาหารพวกนี้ไปได้อย่างไรกัน วัน ๆ ไม่เคยได้กินของที่ดีกว่านี้เลยหรือไร" หนูบ้านหันมาถามหนูนาด้วยสีหน้าแสนห่วงใย

          "ฉันว่านี่ก็ดีแล้วนะพี่ อาหารแต่ละอย่างคุณภาพดี ๆ ทั้งนั้น ขนาดคนเมืองยังมารับไปขายเลย" เสียงของหนูนาตอบกลับแบบแผ่วเบา ด้วยความรู้สึกอายที่ว่าอาหารนั้นไม่ถูกใจแขกผู้มาเยือน

          "เอาอย่างนี้ เดี๋ยวเราเข้าเมืองไปเที่ยวบ้านพี่กัน รับรองว่าจะมีของกินคุณภาพดีมากมายให้เธอได้กินอย่างสุขสบาย" พอหนูนาพูดจบ ทั้ง 2 ก็กินอาหารแล้วเข้านอน เมื่อพระอาทิตย์ฉายแสงมา พวกเขาจึงออกเดินทางไปยังในเมืองทันที

          เมื่อถึงบ้านในเมืองอันแสนคับแคบแต่เต็มไปด้วยข้าวของทันสมัย หนูนาที่เพิ่งเข้ามาในเมืองครั้งแรกก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยว่าพี่หนูบ้านไม่อึดอัดหรืออย่างไร ที่ต้องอยู่แค่ในรูแสนคับแคบของชุมชนเมืองแบบนี้

          หลังจากนั่งได้สักพักหนูบ้านก็ถืออาหารละลานตามาพร้อมเสิร์ฟต้อนรับแขก มีทั้งขนมเค้ก ชีส นม เนย อาหารอย่างดีแบบที่หนูนาไม่เคยเห็นมาก่อน "โอ้โห ! พี่หนูบ้าน พี่ได้กินของดีอย่างนี้ทุกวันเลยหรือจ๊ะ" หนูนาร้องออกมาด้วยเสียงตื่นเต้น

           "ใช่แล้วน้องพี่ ก็เธออยู่ชนบทได้กินแต่ของไม่ดี อยู่ในเมืองแบบพี่นี่สิ ชีวิตที่ใคร ๆ ก็อยากมีกัน" หนูบ้านพูดจบก็มีเสียงแปลก ๆ ดังขึ้นมาทันที "เหมียว เหมียว !"
    
          "นั่นเสียงอะไรหรือพี่" หนูนาถามอย่างกังวล

          "คงเป็นเสียงดนตรีแหละมั้ง คนแถวนี้เขาชอบฟังเพลงกัน ช่างเถอะนะหนูนาน้องพี่ เรามากินอาหารกันเถอะ" หนูบ้านกับหนูนากินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย แต่เสียงร้องเหมียว ๆ ก็ใกล้เข้ามาทุกที

          ทันใดนั้นเอง แมวร่างใหญ่ก็โผล่เข้ามาข้างโต๊ะอาหาร หนู 2 ตัวต่างวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงด้วยความตกใจ หนูนาวิ่งไปซ่อนตัวในถังขยะอันเหม็นเน่า นั่งตัวสั่นเทาตรงนั้นหลายชั่วโมงแล้วค่อยกล้าเดินออกมา

          "น้องหนูนา !" เสียงหนูบ้านตะโกนดังลั่นมาแต่ไกลเมื่อได้เห็นหน้าหนูนา "ไปหลบที่ไหนมา พี่นึกว่าโดนเจ้าแมวนั่นคาบไปเสียแล้ว"

          "ฉันหลบอยู่ที่ถังขยะเหม็นเน่ามา ฉันกลัวเหลือเกินพี่ อยากกลับบ้านเต็มทีแล้ว" หนูนาตอบด้วยเสียงสั่นเครือ

          "แต่ที่นี่มีของดี ๆ รอให้เธอมากินอีกมากมายเลยนะ" หนูบ้านกล่าวรั้งไว้

          "ของดีแค่ไหนฉันก็กินไม่ลงหรอกพี่ ขอตัวกลับบ้านไปกินของเท่าที่มีแต่รู้สึกสบายใจในชนบทจะดีกว่า" พูดจบหนูนาก็เดินกลับชนบท ทิ้งให้หนูบ้านอยู่อย่างหวาดหวั่นที่เขตเมืองต่อไป


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :

          สิ่งไหนที่เรามีแล้วรู้สึกสบายใจที่ได้ครอบครองย่อมนำความสุขมาสู่ชีวิตเสมอ แต่สิ่งใดที่มีแล้วหวาดหวั่นทุกครั้งนั่นคือความทุกข์ ดังนั้นเราควรพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว


Monday, September 2, 2019

นกฮูกกับตั๊กแตน



         กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนกฮูกสาวตัวหนึ่งเมื่อถึงคราวที่ท้องฟ้าสว่างเจิดจ้าด้วยแสงอาทิตย์ นกฮูกตัวนี้จะนอนหลับอยู่ในโพรงต้นไม้ พอแสงอาทิตย์จางหายไป นกฮูกผู้หลับใหลก็จะตื่นขึ้นมาพร้อมออกหากิน ซึ่งอาหารอันโปรดปรานของเจ้านกตัวนี้มีทั้ง แมลง มด สัตว์ตัวเล็กจิ๋ว พวกมันล้วนมีรสชาติดีแถมทำให้นกฮูกอิ่มได้ตลอดคืน
 
          หลายเดือน หลายปีผ่านไป... เจ้านกฮูกที่อาศัยอยู่ในโพรงไม้นั้นได้แก่ตัวลง จะออกหากินแต่ละทีก็เริ่มลำบาก หากวันใดมีเสียงรบกวนช่วงเวลากลางวันก็จะทำให้นอนหลับไม่เต็มอิ่มจนหมดเรี่ยวแรง ถึงแม้ช่วงหลายวันที่ผ่านมาจะยังไร้เสียงหรือผู้ใดคอยรบกวน แต่วันนี้กลับมีเสียงร้องเพลงดังลั่นป่า นกฮูกแก่เลยต้องโผล่หน้าจากโพรงไม้เพื่อสังเกตการณ์ดูว่าใครกันนะที่ฮัมเพลงเสียงดังขนาดนี้

          โดยต้นเสียงนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่มันเป็นเสียงขับร้องของตั๊กแตนผู้ย้ายมาใหม่นั่นเอง

          "เจ้าตั๊กแตนตัวน้อย ช่วยเบาเสียงลงหน่อยได้ไหม เรานอนไม่ค่อยจะหลับเลย" นกฮูกกล่าวด้วยน้ำเสียงโมโห

          "นี่คือเวลากลางวัน ช่วงพระอาทิตย์ส่องแบบนี้ เรามีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้" ตั๊กแตนหันมาตอบแล้วร้องเพลงต่ออย่างสบายใจ นกฮูกเห็นดังนั้นยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าเถียงตนได้ขนาดนี้

          "แต่เราต้องการพักผ่อน เพื่อที่จะได้มีแรงช่วงกลางคืน เจ้าไปร้องเพลงเล่นที่อื่นเถิด เจ้าตั๊กแตนตัวกระจ้อย !" นกฮูกโมโหหนักขึ้นกว่าเดิม

          "ก็บอกเหตุผลมาสัก 1 ข้อสิ ว่าเราได้ประโยชน์อะไรจากการหยุดร้องเพลง... ลั้น ลา ละ ลั้น ลั้น ลา..." ตั๊กแตนร้องเพลงต่ออย่างไม่ไยดี 

            นกฮูกทำได้เพียงเคียดแค้นอยู่ในใจ ไม่กล้าโหวกเหวกออกไป ด้วยกลัวจะโดนผู้อื่นหัวเราะเยาะที่มาเถียงกันเพราะเรื่องแค่นี้ แต่เพื่อให้ตนเองนอนหลับได้นกฮูกผู้ปราดเปรื่องจึงคิดแผนการขึ้นมา

          "ตั๊กแตนผู้มีเสียงอันไพเราะ เราต้องขอโทษทีที่เมื่อครู่นี้ได้ตวาดเจ้าไป มาตอนนี้เราได้ฟังเสียงเจ้าแล้วก็เป็นอันพอใจเพราะเสียงเจ้านั้นไพเราะเสนาะหูเหลือเกิน" นกฮูกออกมาพูดกับตั๊กแตนด้วยน้ำเสียงเยินยอ ทำเอาตั๊กแตนเกิดอาการประหลาดใจ แต่ก็อดยิ้มในคำชื่นชมนั้นไม่ได้

          "วันนี้เรามีไวน์ชั้นเลิศ ที่เหล่าทวยเทพทั้งหลายใช้ดื่มช่วยทำให้เสียงใสก้องกังวานมากขึ้น เพื่อเป็นการมอบรางวัลให้ตั๊กแตนผู้ร้องเพลงดีกว่าใคร ได้โปรดขึ้นมาดื่มไวน์ด้วยกันบนนี้เถิด" นกฮูกเชื้อเชิญตั๊กแตนอย่างมีแผนการ 

          "ก็ได้ เห็นแก่ที่ท่านชอบใจในน้ำเสียงของเรา ถ้าอย่างนั้นเราจะขึ้นไปร่วมดื่มไวน์ด้วยแล้วกัน" ตั๊กแตนกล่าวเสร็จก็กระโดดขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

          เมื่อตั๊กแตนเดินเข้าไปในโพรงไม้อันมืดสนิท ก็ทำให้มันมองไม่เห็นสิ่งใดเลย ต่างจากนกฮูกที่มองเห็นได้ดี ว่าแล้วนกฮูกเลยได้ทีจัดการกินเจ้าตั๊กแตนจนอิ่มหนำ แล้วก็นอนหลับพักผ่อนอย่างสบายใจไร้เสียงใด ๆ มารบกวนตลอดวัน


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :

          อย่าหลงเชื่อคำเยินยอของใครง่าย ๆ เพราะสิ่งที่ร้ายกับเราได้มากที่สุดก็คือการหลงเชื่อคำพูดสรรเสริญอันไพเราะนั่นเอง อีกทั้งเมื่อเกิดความขัดแย้งอะไรกันควรใช้สติปัญญาในการแก้ไขดีกว่านั่งทะเลาะกันทั้งวันให้เสียเวลา


https://baby.kapook.com/view213229.html 
เครดิตภาพ   https://www.pinterest.es/pin/95138610864068316/