ณ หมู่บ้านชนบทอันไกลแสนไกล
มีครอบครัวเล็กๆ อาศัยอยู่ริมเชิงเขา พ่อมีอาชีพเก็บฟืนไปขายที่ตลาดทุกๆ เช้า
แม่ทำงานบ้าน ส่วนลูกชายอยู่ในวัยหนุ่มเป็นคนเกียจคร้านไม่ยอมช่วยการงานพ่อแม่
พอถึงเวลาอาหารก็เอะอะโวยวายโมโหหิว พาลปาข้าวของเสียหาย
แม่เคยสอนว่า
“ข้าวก็อยู่ในถัง น้ำก็อยู่ในตุ่ม
หม้อก็อยู่ข้างฝาบ้าน ลูกก็ช่วยแม่หุงหาบ้างสิ”
ไม่มีคำตอบจากลูก แต่ความหิวยังไม่หายไป
และความโมโหก็รุนแรงขึ้น จนแม่ต้องผละจากงานมาหุงหาให้ได้ดังใจ
อยู่มาวันหนึ่ง
ขณะที่พ่อไปเก็บฟืนก็ถูกสัตว์ป่าทำร้ายจนเสียชีวิต
แล้วแม่ก็ต้องทำงานทุกอย่างแทนพ่อ ทั้งเก็บฟืน และยังต้องทำงานบ้าน รวมทั้งต้องคอยหุงหาอาหารให้ลูกกิน
ฝ่ายลูกชายก็ยังไม่สำนึก ยังคงเกียจคร้าน และใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าไปวันๆ
ภาระของแม่นั้นหนักหนานัก
และด้วยวัยที่ชราแล้ว จึงล้มป่วย และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ฝ่ายลูกชายรู้สึกเสียใจมาก
เกิดความสำนึกผิด เขาตื่นแต่เช้าเดินทางไปในป่า เก็บฟืนแล้วนำมากองไว้
แล้วก็เดินเข้าป่าไปเก็บฟืนกลับมากองไว้อีก ทำอย่างนี้ซ้ำๆๆๆ
จนกองฟืนสูงเท่าภูเขาลูกใหญ่ เพื่อหวังจะทดแทนความเกียจคร้านที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้ทำให้แม่ฟื้นขึ้นมาได้
เขาได้แต่เสียใจ และคิดถึงพ่อกับแม่ ทั้งเหนื่อย
ทั้งหิว แต่วันนี้ แม่มิอาจฟื้นขึ้นมาหุงข้าวให้เขากินได้อีกแล้ว... เขาคิดว่าหากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะช่วยผ่อนแรงพ่อแม่ผู้แก่ชราและดูแลท่านอย่างดี
แต่วันนี้..... ทุกอย่างสายไปเสียแล้ว
แหล่งที่มา หนังสือ อัสสัมชัญสาส์น
ศตวรรษที่ 2 ปีที่ 24 ฉบับที่ 139 กรกฏาคม –
สิงหาคม 2552
เครดิตภาพ https://www.pinterest.com/pin/448882287842673404/