ในป่าใหญ่แห่งหนึ่ง มีครอบครัวของคนตัดไม้ยากจนอยู่ครอบครัวหนึ่ง ประกอบไปด้วยเขา ภรรยา และลูกสองคน ภรรยาของเขาเป็นแค่แม่เลี้ยงของเด็กทั้งสองเท่านั้น แม่เลี้ยงคนนี้โหดร้ายกับเด็กทั้งสองอยู่เป็นประจำ
คนตัดไม้เป็นคนที่ยากจนมาก คืนหนึ่่งแม่เลี้ยงใจร้ายก็ได้คุยกับเขาว่า "พ่อ เราไม่มีอาหารเหลืออยู่เลยนะ ถ้าเราไม่ทำอะไรสักอย่างเราก็จะอดตายแน่นอน ดังนั้นเราต้องพาเด็กสองคนนั่นเข้าไปปล่อยในป่า แล้วเราจะได้ไม่ต้องเลี้ยงเด็กสองคนนั่นอีกต่อไป"
คนตัดไม้รู้สึกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมากที่ไ้ด้ยินภรรยาของเขาพูดเช่นนั้น แต่เธอก็พยายามทำให้เขาเห็นด้วยกับความคิดของเธอ ในขณะเดียวกันเด็กทั้งสองก็ได้ยินการสนทนาระหว่างพ่อกับแม่เลี้ยงใจร้ายอยู่เช่นกัน พี่ชายจึงเกิดความคิดที่ชาญฉลาดขึ้นมาได้
ในเช้าวันรุ่งขึ้น คนตัดไม้และภรรยาได้พาสองคนพี่น้องเข้าไปในป่าและได้ทิ้งสองคนพี่น้องไว้เพียงลำพัง ฝ่ายพี่ชายซึ่งเก็บก้อนหินจำนวนหลายก้อนไว้ในกระเป๋าได้ทิ้งก้อนหินไว้ตลอดทางที่เข้าไปในป่า จึงทำให้สองคนพี่น้องเดินตามก้อนหินกลับบ้านได้
ในวันต่อมา คนตัดไม้และภรรยาได้พาสองคนพี่น้องเข้าไปในป่าและได้ทิ้งสองคนพี่น้องไว้เพียงลำพังอีก คราวนี้ัพี่ชายได้ทิ้งเศษขนมปังไว้ตลอดทางแต่โชคร้ายเศษขนมปังเหล่านั้นได้ถูกนกจิกกินจนหมดเกลี้ยง ดังนั้นสองคนพี่น้องจึงได้หลงทาง
สองคนพี่น้องพยายามเดินหาทางกลับบ้านจนกระทั่งมืดค่ำ ทั้งสองคนรู้สึกเศร้า อ้างว้าง จนเพลียและหลับไปใต้ต้นไม้ใหญ่
เช้าวันต่อมา ทั้งสองคนพี่น้องตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงนกร้อง นกเหล่านั้นได้ิบินนำเด็กทั้งสองไปยังบ้านเล็กๆ หลังหนึ่ง บ้านหลังนี้ทำด้วยขนมปังทั้งหลัง ที่ประตูและหน้าต่างประดับด้วยลูกอมหลากหลายสีสัน
เมื่อเด็กทั้งสองคนพี่น้องกำลังจะกินบ้านหลังนี้ ก็มีหญิงชราคนหนึ่งปรากฎตัวขึ้นและตะโกนเรียกเด็กทั้งสองว่า "เข้ามาซิ เข้ามาซิ ฉันมีอาหารมากมายให้พวกหนูกิน"
ที่แท้หญิงชราคนนี้ก็คือแม่มดใจร้ายที่ชอบกินเด็กเป็นอาหารนั่นเอง
ในวันถัดมา แม่มดใจร้ายได้ขังพี่ชายไว้ในกรงและบังคับให้น้องสาวทำงานอย่างหนักรวมทั้งทำความสะอาดบ้านทั้งหลังด้วย
ในที่สุด แม่มดใจร้ายคิดว่าอยากจะกินพี่้ชายก่อน จึงได้ให้น้องสาวก่อไฟในเตา และถามว่า "แม่หนู ก่อไฟเสร็จรียัง"
น้องสาวกล่าวว่า "ช่วยเข้ามาดูให้หน่อยซิคะ"
เมื่อแม่มดใจร้ายเข้าไปใกล้ น้องสาวก็ได้ผลักแม่มดเข้าไปในกองไฟทันที
น้องสาวรีบวิ่งมาเปิดกรงให้พี่ชาย และพูดว่า "แม่มดใจร้ายตายแล้ว เราทั้งสองคนพี่น้องรอดตายแล้ว"
สองคนพี่น้องได้ค้นพบกล่องใส่เพชรมากมายในบ้านแม่มดใจร้าย ทั้งสองจึงนำเพชรเหล่านั้นเดินทางกลับบ้านไปด้วย
ในช่วงที่สองคนพี่น้องไม่อยู่นั้น แม่เลี้ยงใจร้ายก็ได้ตายไป คนตัดไม้จึงได้ออกตามหาสองคนพี่น้องจนทั่ว และในที่สุด เขาก็ได้เจอสองคนพี่น้อง เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่เขาและลูกทั้งสองได้กลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง
Saturday, October 23, 2010
Friday, October 1, 2010
คนเรียนหนังสือเป็นคน
สมัยก่อนไม่มีโรงเรียน เด็กผู้ชายเรียนหนังสือกับพระที่วัด เด็กผู้หญิงเรียนหนังสือที่บ้าน พ่อแม่ปู่ย่าตายายสอนให้อ่านให้เขียน
สมัยก่อนคนไม่เห็นประโยชน์ที่จะเรียนหนังสือ คนรู้หนังสือจึงมีน้อย คนไม่รู้หนังสือจึงไม่มีความรู้และไม่ฉลาด
สมัยนี้มีโรงเรียนให้เรียนหนังสือ มีครูสอนหนังสือและยังสอนให้นักเรียนรู้จักคิด รู้จักพูดดี ทำดี สอนให้รู้เรื่องราวต่างๆ ของบ้านเมือง ให้รู้วิชาทำมาหากิน รู้วิธีทำงานให้ได้ดี
ถ้านักเรียนอยากเป็นคนฉลาด ต้องไปโรงเรียนและขยันเรียน หมั่นอ่าน หมั่นเขียน หมั่นเรียนหนังสือ จะได้มีความรู้ เมื่อมีความรู้แล้วจะคิดอะไร จะทำอะไร ก็ทำได้ดี เมื่อนักเรียนทำได้อย่างนี้ โตขึ้นจะได้เป็นคนดี มีความรู้ มีงานทำ พ่อแม่จะได้ชื่นใจ
แหล่งข้อมูลที่มา : เอกสารประกอบการเรียนวิชาภาษาไทย
โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม
สมัยก่อนคนไม่เห็นประโยชน์ที่จะเรียนหนังสือ คนรู้หนังสือจึงมีน้อย คนไม่รู้หนังสือจึงไม่มีความรู้และไม่ฉลาด
สมัยนี้มีโรงเรียนให้เรียนหนังสือ มีครูสอนหนังสือและยังสอนให้นักเรียนรู้จักคิด รู้จักพูดดี ทำดี สอนให้รู้เรื่องราวต่างๆ ของบ้านเมือง ให้รู้วิชาทำมาหากิน รู้วิธีทำงานให้ได้ดี
ถ้านักเรียนอยากเป็นคนฉลาด ต้องไปโรงเรียนและขยันเรียน หมั่นอ่าน หมั่นเขียน หมั่นเรียนหนังสือ จะได้มีความรู้ เมื่อมีความรู้แล้วจะคิดอะไร จะทำอะไร ก็ทำได้ดี เมื่อนักเรียนทำได้อย่างนี้ โตขึ้นจะได้เป็นคนดี มีความรู้ มีงานทำ พ่อแม่จะได้ชื่นใจ
แหล่งข้อมูลที่มา : เอกสารประกอบการเรียนวิชาภาษาไทย
โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม
เสือสมิง
วันหนึ่ง ตาเสงี่ยมเล่าให้เด็กๆ ฟังว่า แต่ก่อนเมืองไทยเรียกว่า "เมืองสยาม" มีป่าสงวนมาก ป่าสงวนคือ ป่าที่ห้ามตัดไม้ทำลายป่า ในป่าจึงมีต้นไม้ขึ้นทึบ มีสัตว์ป่ามากมาย เช่น เนื้อสมัน ช้าง ลิง เสือ เป็นต้น แม่น้ำลำคลองก็มีปลาชุกชุม มีทั้งปลาสลิด ปลาสวาย และปลาสลาด
ตาเสงี่ยมได้เล่านิทานเรื่องเสือสมิงให้เด็กๆ ฟังว่า ใกล้ป่าสงวนแห่งหนึ่ง มีบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังนี้เป็นบ้านของลุงสมาน รอบๆ บ้านของลุงสมานมีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นเต็มและเงียบสงัด ป่าสงวนแห่งนี้มีเสือตัวหนึ่ง ชาวบ้านลือกันว่าเป็นเสือสมิง บางทีเสือตัวนี้ก็เป็นคนเข้ามาในหมู่บ้าน และหลอกให้คนในหมู่บ้านเข้าไปในป่าเสมอๆ แล้วเสือสมิงก็จับกิน
วันหนึ่งสง่าหลานของลุงสมานไปเก็บลูกสมอใกล้บ้าน ไปพบหญิงสาวนั่งสยายผมอยู่ใต้ต้นสมอ สง่าเดินไปพูดด้วย หญิงสาวก็เป็นเสือสมิง จะกัดสง่า สง่าก็วิ่งหนีและร้องให้คนช่วย
ลุงสมานนั่งรอสง่า ได้ยินเสียงร้องของสง่า จึงถือปืนวิ่งเข้าไปดู พบเสือสมิงกำลังวิ่งไล่ตามสง่า ลุงสมานจึงยิงเสือสมิง เสียงปืนดังสนั่น เสือสมิงผงะหงาย แล้ววิ่งหายเข้าป่าไป
ตาเสงี่ยมบอกเด็กๆ ว่า ไม่ต้องหวาดผวา เสือสมิงมีแต่เรื่องเล่าในนิทานเท่านั้น
แหล่งข้อมูลที่มา : เอกสารประกอบการเรียนวิชาภาษาไทย
โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม
ตาเสงี่ยมได้เล่านิทานเรื่องเสือสมิงให้เด็กๆ ฟังว่า ใกล้ป่าสงวนแห่งหนึ่ง มีบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังนี้เป็นบ้านของลุงสมาน รอบๆ บ้านของลุงสมานมีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นเต็มและเงียบสงัด ป่าสงวนแห่งนี้มีเสือตัวหนึ่ง ชาวบ้านลือกันว่าเป็นเสือสมิง บางทีเสือตัวนี้ก็เป็นคนเข้ามาในหมู่บ้าน และหลอกให้คนในหมู่บ้านเข้าไปในป่าเสมอๆ แล้วเสือสมิงก็จับกิน
วันหนึ่งสง่าหลานของลุงสมานไปเก็บลูกสมอใกล้บ้าน ไปพบหญิงสาวนั่งสยายผมอยู่ใต้ต้นสมอ สง่าเดินไปพูดด้วย หญิงสาวก็เป็นเสือสมิง จะกัดสง่า สง่าก็วิ่งหนีและร้องให้คนช่วย
ลุงสมานนั่งรอสง่า ได้ยินเสียงร้องของสง่า จึงถือปืนวิ่งเข้าไปดู พบเสือสมิงกำลังวิ่งไล่ตามสง่า ลุงสมานจึงยิงเสือสมิง เสียงปืนดังสนั่น เสือสมิงผงะหงาย แล้ววิ่งหายเข้าป่าไป
ตาเสงี่ยมบอกเด็กๆ ว่า ไม่ต้องหวาดผวา เสือสมิงมีแต่เรื่องเล่าในนิทานเท่านั้น
แหล่งข้อมูลที่มา : เอกสารประกอบการเรียนวิชาภาษาไทย
โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม
บะหมี่ผู้ไม่กลัว
หมอใหญ่เป็นหมอประจำหมู่บ้าน ใครเจ็บไข้จะมาให้หมอใหญ่รักษา หมีเป็นหลายชายของหมอใหญ่ เขาชอบกินบะหมี่ หมอใหญ่จึงเรียกเขาว่าบะหมี่ เขาชอบบอกใครๆ ว่า เขาเป็นคนเก่ง ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น
วันหนึ่งหมอใหญ่กับบะหมี่เข้าไปเที่ยวในป่า ระยะนี้เป็นหน้าฝน ต้นไม้ต้นหญ้าในป่าสดเขียวงามตา ที่กอไผ่มีหน่อไม้หลายหน่อ ห่างออกไปมีต้นหว้าใหญ่ หมอใหญ่ไปนั่งพักที่ใต้ต้นหว้า ส่วนบะหมี่ดูหน่อไม้ที่กอไผ่ บะหมี่เห็นหมูป่าเดินมา เขาตกใจกล้ว เขาวิ่งไปหาหมอใหญ่ที่ใต้ต้นหว้า
บะหมี่เล่าให้หมอใหญ่ฟังด้วยเสียงดังว่า เขาหนีหมูป่า หมอใหญ่ได้แต่หัวเราะ
บนต้นหว้ามีนกกาเหว่าหลายตัว มันกำลังกินลูกหว้า นกกาเหว่าได้ยินเสียงของบะหมี่ จึงตกใจร้อง "กาเหว่าๆ" แล้วก็บินหนีไป หมอใหญ่พูดว่า นกกาเหว่ามันกลัวเสียงของบะหมี่จึงบินหนี แต่นกกาเหว่าไม่คุยอวดตัวว่ามันไม่กลัวอะไร
แหล่งข้อมูลที่มา : เอกสารประกอบการเรียนวิชาภาษาไทย
โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม
วันหนึ่งหมอใหญ่กับบะหมี่เข้าไปเที่ยวในป่า ระยะนี้เป็นหน้าฝน ต้นไม้ต้นหญ้าในป่าสดเขียวงามตา ที่กอไผ่มีหน่อไม้หลายหน่อ ห่างออกไปมีต้นหว้าใหญ่ หมอใหญ่ไปนั่งพักที่ใต้ต้นหว้า ส่วนบะหมี่ดูหน่อไม้ที่กอไผ่ บะหมี่เห็นหมูป่าเดินมา เขาตกใจกล้ว เขาวิ่งไปหาหมอใหญ่ที่ใต้ต้นหว้า
บะหมี่เล่าให้หมอใหญ่ฟังด้วยเสียงดังว่า เขาหนีหมูป่า หมอใหญ่ได้แต่หัวเราะ
บนต้นหว้ามีนกกาเหว่าหลายตัว มันกำลังกินลูกหว้า นกกาเหว่าได้ยินเสียงของบะหมี่ จึงตกใจร้อง "กาเหว่าๆ" แล้วก็บินหนีไป หมอใหญ่พูดว่า นกกาเหว่ามันกลัวเสียงของบะหมี่จึงบินหนี แต่นกกาเหว่าไม่คุยอวดตัวว่ามันไม่กลัวอะไร
แหล่งข้อมูลที่มา : เอกสารประกอบการเรียนวิชาภาษาไทย
โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม
Subscribe to:
Posts (Atom)