Wednesday, September 28, 2016

เด็กน้อยกับของขวัญปีใหม่ที่วิเศษสุด





การให้ของขวัญกันในวันปีใหม่เป็นสิ่งที่หลายๆ คนทำกัน มันเป็นการส่งความสุขให้แก่คนที่เรารัก ทำให้เทศกาลปีใหม่มีแต่ความครื้นเครงและเสียงหัวเราะในทุกๆ หน ทุกๆ แห่ง  เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวของเด็กน้อยคนหนึ่งได้ให้ของขวัญที่วิเศษสุดแก่เพื่อนตัวน้อยของเขา.....นั่นคือ ของขวัญแห่งความรัก

ณ. หมู่บ้านเล็กๆ หมู่บ้านหนึ่ง  ยังมีเด็กน้อยคนหนึ่งซึ่งมีครอบครัวที่ฐานะดีที่สุดในหมู่บ้าน ในทุกๆ ปี เขามักจะได้รับของเล่นราคาแพงๆ เป็นของขวัญปีใหม่จากพ่อของเขาเสมอ  เขามีเพื่อนตัวน้อยอยู่คนหนึ่งซึ่งมาฐานะยากจนมาก

พอใกล้ปีใหม่ทีไร อากาศที่นั่นก็เริ่มหนาวเย็นลง ขณะที่เขาออกไปวิ่งเล่นที่สนามเด็กเล่นนั้น เขาก็ได้เห็นเพื่อนคนนี้นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหนาวเย็นเนื่องจากไม่มีแม้เสื้อกันหนาวจะสวมใส่  เขาจึงวิ่งกลับไปที่บ้านของเขาและหยิบเอาเสื้อหนาวของเขาและวิ่งกลับไปที่เพื่อนในทันที

หนาวมากไหมจ๊ะเขาเอ่ยขึ้น
นี่เสื้อหนาวนะ ใส่ไว้สิ ฉันให้ จะได้ไม่หนาวนะ
ขอบคุณมากๆ จ๊ะเพื่อนของเขารับไว้ด้วยความดีใจ

เขาเพิ่งรู้ว่า เพื่อนของเขาคนนี้ ไม่มีแม้แต่อาหารตกถึงท้องในบางมื้อ เมื่อกลับถึงบ้าน เขาจึงรีบเข้าไปบอกพ่อเขาทันทีว่า

พ่อครับ
ปีใหม่ปีนี้ ผมไม่ต้องการของเล่นหรืออะไรแพงๆ แล้วครับ
ผมขอแค่เงิน 500 บาท ได้ไหมครับ
ได้สิลูกพ่อตอบ ด้วยสีหน้างงๆ

เมื่อถึงวันปีใหม่  เด็กน้อยก็ได้รับซองจากพ่อของเขา ซึ่งในนั้นมีเงินสดอยู่จำนวน 500 บาท เด็กน้อยดีใจมากและรีบวิ่งนำซองนั้นไปให้เพื่อนทันที

สุขสันต์วันปีใหม่นะจ๊ะเขาเอ่ย
ขอให้มีความสุขมากๆ นะ

เพื่อนของเขาดีใจเป็นที่สุด เขาเพิ่งเห็นรอยยิ้มอันเบิกบานจากเพื่อนของเขาก็วันนี้เอง

นี่สินะ คงเป็นของขวัญที่มีค่าสำหรับเพื่อนของเขาในเวลานี้  เขารู้สึกอิ่มเอิบใจมากมายเพราะเขารู้แล้วว่าของขวัญอื่นใดไม่มีค่าเท่ากับการให้ การให้ด้วยความรักโดยไม่หวังผลตอบแทน ช่างมีค่าจริงๆ

เมื่อเขากลับมาถึงบ้าน เขาก็ได้พบกับของขวัญจากพ่อเป็นสเก็ตบอร์ดที่เขาฝันอยากได้มานาน พ่อและแม่ของเขาเข้ามาโอบกอดเขาด้วยความรัก คราวนี้ เขารู้แล้วว่า ไม่ใช่ของขวัญหรอกที่สำคัญสำหรับชีวิตเขา แต่เป็นความรักที่พ่อและแม่มีให้แก่เขา และนั่นทำให้เขาสามารถเผื่อแผ่ความรักที่นับว่าเป็นของขวัญที่วิเศษสุดให้กับเพื่อนของเขาได้นั่นเอง

เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/399272323184487282/


Tuesday, September 27, 2016

เด็กน้อยกับบ้านทองคำ



 
นานมาแล้ว มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ เรียบง่าย อยู่ปลายเขาลูกหนึ่ง อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังเล่นอยู่ในสวนเล็กๆ ในบริเวณบ้านของเธอนั้น สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นบ้านหลังหนึ่งที่สวยงามมากตั้งอยู่ในอีกหมู่บ้านหนึ่งที่อยู่บนยอดเขา  บ้านหลังนั้นเหลืองอร่ามดั่งทองคำ ทำให้เด็กน้อยอยากที่จะเข้าไปอยู่ในบ้านที่งดงามตระการตาหลังนั้นแทนบ้านที่ดูธรรมดาๆ ของเธอเสียจริงๆ

เธอรักพ่อแม่และครอบครัวของเธอมากแต่เธอก็อยากที่จะไปอาศัยในบ้านทองคำหลังนั้นเป็นอย่างมาก เธอฝันถึงบ้านทองคำหลังนั้นทุกวัน

จนเมื่อเด็กน้อยเติบโตขึ้นจนสามารถที่จะออกไปข้างนอกได้เองโดยลำพัง เด็กน้อยก็ได้ขออนุญาตแม่ของเธอเพื่อจะขี่จักรยานออกไปข้างนอกบ้าน แม่ของเธอก็อนุญาตให้ออกไปได้แต่ขออย่าได้ไปไหนไกลจากบ้านมากนัก

วันนั้นช่างเป็นวันที่แสนสุขสำหรับเด็กน้อยยิ่งนัก เธอรู้ว่าเธอกำลังจะไปไหน เธอได้ขี่จักรยานไปเรื่อยๆ ตามถนนของหมู่บ้าน จนในที่สุดเธอก็ถึงประตูรั้วของบ้านทองคำหลังนั้น  เธอลงจากจักรยานของเธอและเดินเข้าไปตามทางที่มีหญ้าขึ้นรกๆ ไปจนถึงตัวบ้านทองคำหลังนั้น แต่เมื่อเธอเห็นตัวบ้านใกล้ๆ เธอก็รู้สึกผิดหวังมากมาย เพราะตัวบ้าน ทั้งประตูและหน้าต่างทุกบานที่เธอเห็นในตอนนี้นั้นดูแสนจะธรรมดาและสกปรกเอามากๆ มันดูเหมือนเป็นบ้านร้างที่ถูกทิ้งไว้เป็นเวลานาน

เด็กน้อยขี่จักรยานกลับด้วยความรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก  และแล้วสายตาของเธอก็พลันเห็นภาพที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างมากอีกภาพหนึ่ง ที่ไกลโพ้นตรงนั้น มีบ้านหลังเล็กๆ หลังหนึ่งซึ่งมีหน้าต่างเหลืองอร่ามดั่งทองคำเช่นกัน  ลำแสงจากดวงอาทิตย์กำลังทอแสงไปที่บ้านหลังเล็กๆ ของเธออยู่นั่นเอง

เธอเพิ่งเข้าใจแล้วว่าเธอเองนั่นแหละที่ได้อาศัยในบ้านทองคำ  ด้วยความรักและความอบอุ่นที่เธอได้รับในบ้านหลังนี้ ทำให้บ้านของเธอมีค่าดั่งทองคำ  ทุกสิ่งที่เธอเคยฝันถึงนั้น แท้จริงได้อยู่ตรงหน้าเธอนี่เอง


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ในบางครั้ง เราไม่เคยตระหนักว่าเราโชคดีแค่ไหนในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่!


เครดิตภาพ  https://in.pinterest.com/pin/341358846737481466/

Friday, September 23, 2016

เต่ากับกระต่าย




เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/explore/cartoon-turtle/

นิทานเรื่องกระต่ายกับเต่าเป็นนิทานที่ทุกคนทราบกันดีว่าการที่เต่าเอาชนะกระต่ายได้ก็เพราะถึงแม้ว่าเขาจะเดินช้าแต่ด้วยความมุ่งมั่นจึงทำให้เขาสามารถเดินไปจนถึงเส้นชัยได้ก่อนกระต่าย และการที่กระต่ายแพ้เต่านั้นก็เพราะว่าเขาเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไปจึงทำให้เกิดความประมาทนอนหลับกลางทางเพราะคิดว่าตัวเองวิ่งยังไงก็ชนะเต่าได้อยู่แล้วนั่นเอง

คราวนี้มาลองดูกันว่า จะเป็นอย่างไร หากทั้งเต่าและกระต่ายร่วมมือกันทำงานเป็นทีม เงื่อนไขของการแข่งขันคือ เต่าและกระต่ายจะต้องวิ่งแข่งทั้งบนบกและว่ายข้ามแม่น้ำและวิ่งต่อไปจนถึงเส้นชัยให้ได้

เครดิตภาพ https://www.pinterest.com/pin/557531628846470586/

เต่าและกระต่ายในตอนนี้นั้น เป็นเพื่อนที่แสนดีต่อกันและพวกเขาทั้งคู่มักทำอะไรด้วยกันเสมอ

เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น คราวนี้ กระต่ายได้ให้เต่าขึ้นขี่บนหลังและวิ่งพาเต่าไปยังริมฝั่งแม่น้ำ  เมื่อถึงที่นั่น เต่าก็ให้กระต่ายขี่หลังบ้างและว่ายข้ามแม่น้ำไป เมื่อถึงอีกฝั่งของแม่น้ำ กระต่ายก็ให้เต่าขี่หลังอีกและก็วิ่งพากันไปจนถึงเส้นชัยด้วยกันทั้งคู่   ทั้งเต่าและกระต่ายต่างรู้สึกมีความสุขใจกว่าเมื่อก่อนมาก

ทั้งเต่าและกระต่ายได้เรียนรู้แล้วว่า การที่แต่ละคนมีความฉลาดและมีความแข็งแกร่งนั้นเป็นสิ่งดี แต่ในขณะเดียวกัน การได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำงานกันเป็นทีมก็เป็นสิ่งสำคัญ เมื่อแต่ละคนใช้ความสามารถพิเศษที่แต่ละคนถนัดและช่วยกันทำงานเป็นทีม ทีมนั้นๆ ก็จะประสพกับความสำเร็จได้ในที่สุด


Wednesday, September 21, 2016

ชายตาบอดทั้งหกกับช้าง





ณ หมู่บ้านเล็กๆ หมู่บ้านหนึ่ง มีชายตาบอด 6 คน เป็นเพื่อนรักกัน อยู่มาวันหนึ่งมีช้างตัวหนึ่งได้เดินหลงทางเข้ามาในหมู่บ้านของพวกเขา ชายตาบอดทั้ง 6 ได้ยินเสียงและได้กลิ่นของช้างเมื่อมันเดินมาใกล้ๆ ชายตาบอดทั้ง 6 อยากรู้เหลือเกินว่าเจ้าสิ่งนี้มันหน้าตาเป็นอย่างไร

ชายตาบอดคนที่หนึ่ง จับที่ ตัวช้าง เขารู้สึกได้ถึงความแข็งและกว้าง เขาจึงพูดขึ้นว่า ช้างเหมือน กำแพง

ชายตาบอดคนที่สอง จับที่ งาช้าง เขารู้สึกว่ามันแหลม เขาจึงบอกว่า ช้างเหมือน หอก

ชายตาบอดคนที่สาม  จับที่ งวงช้าง เขารู้สึกว่ามันยาว เรียวๆ และกระดุกกระดิกได้ เขาจึงบอกว่า ช้างเหมือน งู

ชายตาบอดคนที่สี่ จับที่ ขาช้าง เขารู้สึกว่ามันหนา ขรุขระ และแข็ง เขาจึงบอกว่า ช้างเหมือน ต้นไม้

ชายตาบอดคนที่ห้า จับที่ หูช้าง เขารู้สึกว่ามันบาง และพะเยิบๆ เขาจึงบอกว่า ช้างเหมือน พัดลม

ชายตาบอดคนที่หก จับที่ หางช้าง เขารู้สึกว่ามันยาว เรียวๆ และแข็งแรง เขาจึงบอกว่า ช้างเหมือน เชือก

ชายตาบอดทั้งหกเริ่มโต้เถียงกันลั่นหมู่บ้าน แต่ละคนต่างก็ไม่มีใครฟังใคร และคิดว่าสิ่งตัวเองคิดเท่านั้นที่ถูกต้อง ที่คนอื่นคิดไม่ใช่ ไม่ถูกต้อง

มันเหมือนกำแพง
ไม่ใช่ มันเหมือนหอก ต่างหาก 
ไม่ใช่ มันเหมือนงู ต่างหาก

เมื่อเวลาล่วงเลยไป มีชายหนุ่มคนหนึ่งได้ยินเสียงชายตาบอดทั้งหกโต้เถียงกัน จึงได้เดินเข้ามาใกล้ๆ และพูดขึ้นว่า

พวกท่านกำลังทะเลาะกันเรื่องอะไรหรือ 

พวกท่านรู้ไหมว่า ที่พวกท่านทั้งหกน่ะคิดถูกต้องในบางส่วนเท่านั้น พวกท่านได้จับส่วนของช้างคนละส่วนที่แตกต่างกัน และส่วนต่างๆ ของช้างเหล่านั้นนั่นแหละรวมกันเป็นลักษณะของตัวช้าง 1 เชือก

ชายตาบอดทั้งหกได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจและได้เลิกทะเลาะกัน พวกเขาเข้าใจแล้วว่าถ้าหากพวกเขาเอาสิ่งที่พวกเขาคิด สัมผัส หรือสังเกตได้มารวมกัน พวกเขาก็จะได้ภาพรวมที่แท้จริงของสิ่งนั้น

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
คนเราอย่ามองอะไรในแง่มุมของตัวเองแต่เดียว ควรรับฟังความเห็นของคนอื่นๆ ด้วยและช่วยกันคิดวิเคราะห์ จึงจะมองเห็นภาพรวมที่เป็นจริง จะได้ไม่ทะเลาะกันเหมือนชายตาบอดทั้งหกคนนี้

เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/129267451777737139/ 

Saturday, September 17, 2016

นกกระสาแสนซื่อกับสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์



 
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ. กลางป่าใหญ่แห่งหนึ่ง มีสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่งเดินโซเซด้วยความหิวโหยเนื่องจากไม่มีอะไรตกถึงท้องมาหลายวันแล้ว จนในที่สุด มันก็เจอซากกวางที่ฝูงสิงโตกินทิ้งเอาไว้ อยู่ข้างๆ แม่น้ำสายหนึ่ง ด้วยความที่มันหิวจัด มันจึงตรงรี่เข้าไปกินซากกวางตัวนั้นในทันที และด้วยความตะกละของมัน มันได้กลืนกระดูกชิ้นใหญ่เข้าไป แน่นอน .... กระดูกชิ้นใหญ่ชิ้นนั้นก็เข้าไปติดคอมันในทันที จนมันต้องร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดและทรมาน มันพยายามทุกวิถีทางที่จะเอากระดูกออกจากคอของมัน แต่ก็ไม่สำเร็จ

ในขณะนั้นเอง มันก็เหลือบไปเห็นนกกระสาแสนซื่อตัวหนึ่งกำลังเดินผ่านมา ด้วยความดีใจ สุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ก็ร้องทักนกกระสาแสนซื่อว่า

พี่นกกระสาจ๋า.......  

พี่ช่วยอะไรฉันหน่อยได้มั้ยจ๊ะ

นกกระสาแสนซื่อได้ยินสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์พูดทักทายด้วยน้ำเสียงอันอ่อนหวานไพเราะเช่นนั้น นกกระสาแสนซื่อก็รู้สึกเต็มใจที่จะช่วยเหลือสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ในทันที จึงถามขึ้นว่า

จะให้พี่ช่วยอะไรจ๊ะ

พี่ช่วยหยิบกระดูกชิ้นโตออกจากคอของฉันให้ทีนะจ๊ะ ปากแหลมๆ สวยๆ ของพี่เท่านั้นแหละที่จะช่วยฉันได้

ถ้าพี่ทำได้....ฉันสัญญาว่าจะให้รางวัลพี่อย่างงามเลยล่ะ

นกกระสาแสนซื่อหลงเชื่อในข้อเสนอของสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ จึงก้มลงไปในคอสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์และ มันต้องใช้ความพยายามและความระมัดระวังอย่างทุลักทุเล จนในที่สุดมันก็สามารถใช้ปากของมันคาบเอากระดูกชิ้นโตออกมาจากปากของสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ได้สำเร็จ

สุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์หายจากความเจ็บปวดและไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป มันรู้สึกดีใจมากๆ แต่พอนกกระสาแสนซื่อทวงรางวัลที่สุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์สัญญาว่าจะให้ คราวนี้ สุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์พูดกับนกกระสาแสนซื่อด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างไปจากเดิมแกมตะคอกว่า

เจ้าน่ะ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ข้าไม่กัดหัวเจ้า ฉันน่ะทำได้ง่ายๆ เลยนะเมื่อตอนที่เจ้าเอาหัวของเจ้าเข้าไปในคอของข้า แต่ข้าก็ไม่ทำ นั่นแหละ ถือว่าเป็นรางวัลของเจ้าแล้วล่ะ


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

อย่าได้หวังรางวัลหรือสิ่งตอบแทนใดๆ จากผู้อื่นโดยเฉพาะคนที่ไม่ดีและมักผิดสัญญา แต่จงทำดีกับผู้อื่นเพราะมันเป็นสิ่งที่ดี และไม่คาดหวังว่าจะได้ผลตอบแทนใดๆ และอย่าทำตัวเหมือนสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ทำผิดสัญญา



เครดิตภาพ  https://fr.pinterest.com/pin/94153448438240555/