Wednesday, September 10, 2014

ช้างเกเร





ช้างตัวหนึ่งมีนิสัยเกเร
มันเดินไปพบรังมดแดง ซึ่งหลุดจากกิ่งไม้ ตกขวางทางอยู่
จึงต้องตวาดว่า ...
"เฮ้ย ทำไมพวกเจ้าทำรังขวางทางเราอยู่
เห็นข้ามา ทำไมไม่หลบไปเสีย ตัวเจ้าโตเท่าใด?
ถ้าข้าจับฟาดเสียทั้งรัง เจ้าก็สู้ข้าไม่ได้"

มดได้ฟังก็โกรธ และคิดว่า
ถึงแม้ว่าเราตัวเล็กก็ไม่ควรมาหมิ่นประมาท
จึงร้องตอบว่า ...
"ท่านครับ พวกเราไม่คิดจะขวางทางเลย แต่รังมันขาดตกลงมา
พวกเราก็จะแบกหามไปก็ไม่ทัน
ถ้าท่านจะกรุณาเอางวง เกี่ยวรังขึ้นไปไว้บนต้นไม้
ก็จะขอบคุณมาก"

 
ช้างได้ฟังดังนั้น จึงเอาปลายงวงจับรังมดแดงขึ้น
ฝ่ายมดแดงก็กรูกันเข้าในรูงวง และกัด ช้างได้รับความเจ็บปวดมาก
ช้างจะฟาดฟันอย่างไร ๆ ก็ไม่หลุด

ช้างจึงถามว่า ...
"มดเอ๋ย เจ้ามากัดข้าทำไม"
มดจึงร้องตอบว่า
"ที่ข้ากัดเจ้า เพราะเจ้าชอบดูหมิ่นรังแกผู้อื่น
ถ้าเจ้ายังมีนิสัยอย่างนี้ ข้าก็ไม่วาง"
ช้างหมดปัญญา จึงยอม
และต่อนั้นมา มันก็ไม่รังแกใครอีกเลย
...



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://baby.kapook.com
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.ca/pin/779896860446074540/

Monday, September 8, 2014

ชาวนากับงูเห่า





เช้าวันหนึ่งในฤดูหนาว อากาศหนาวเย็นจัด ชาวนาผู้หนึ่งได้ออกจากบ้านไปทำนาตามปกติ ในท่ามกลางสายฝนอากาศอันหนาวเย็นนั้น ชาวนาได้พบงูเห่าตัวหนึ่งนอนขดตัวแข็งอยู่เพราะความหนาวมันไม่กระดุกกระดิกเลย 

  
ชาวนาเฝ้ามองดูมันอยู่นานด้วยความรู้สึกสงสารอย่างจับใจ ดังนั้นชาวนาจึงค่อยๆ จับงูเห่าตัวนั้นขึ้นมาอุ้มไว้ เพื่อให้มันได้รับความอบอุ่นจากตัวของชาวนาเอง และลูบไล้ไปตามตัวของงูเห่า เพื่อให้งูเห่าคลายความหนาวลง 

ไม่นานนักที่ชาวนาลูบไล้ไปมาบนตัวงูเห่า ความอบอุ่นจากมือของชาวนาช่วยให้งูเห่าตัวนั้นค่อยๆ เคลื่อนไหวได้ ในที่สุดเมื่องูเห่าตัวนั้นเคลื่อนไหวได้ตามปกติ มันก็ฉกกัดเข้าที่แขนของชาวนาทันที


ชาวนาผู้นั้นร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวดและล้มลงสิ้นใจตายอยู่ตรงนั้นเอง ก่อนตายชาวนาผู้นั้นได้ร้องรำพันออกมาว่าทำคุณแก่สัตว์ร้ายมักจะให้โทษแก่เราอย่างนี้แหละหนอ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :
 
                 อย่าหวังความกตัญญูจากการช่วยเหลือคนอกตัญญู 


ผู้แต่ง : ประชุม ศิริธรรมวัฒน์                           
แหล่งที่มา :  นิทานอีสป2, http://siraratoil.wordpress.com
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Saturday, September 6, 2014

กระต่ายผู้เสียสละ




กาลครั้งหนึ่ง กลางป่าซึ่งเขียวขจีด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ มีทั้งไม้ดอกและไม้ผล นอกจากนี้ยังมีเหวลึกและมีแม่น้ำสายใหญ่ ไหลเชี่ยวกรากตลอดเวลา ในป่าแห่งนั้น มีสัตว์ ๔ สหาย อาศัยอยู่ด้วยกัน คือ กระต่าย ๑ ตัว ลิง ๑ ตัว สุนัขจิ้งจอก ๑ ตัว และนาก ๑ ตัว

สัตว์ทั้ง ๔ ตัวนี้ ตั้งอยู่ในศีลธรรม และอยู่ด้วยกันด้วยความสมานฉันท์ มีกระต่ายเป็นหัวหน้า ทุกเย็นสัตว์ทั้งหมดจะไปประชุมกัน ฟังโอวาทจากกระต่าย และนำมาปฏิบัติตามอย่างสม่ำเสมอ

  
คืนวันหนึ่ง ระหว่างที่กำลังให้โอวาทแก่สัตว์ทั้งสามอยู่ กระต่ายได้มองขึ้นไปยังท้องฟ้า ท้องฟ้ายามราตรีกำลังสว่างนวลด้วยแสงจันทร์ กระต่ายรู้ว่า วันพรุ่งนี้จะเป็นวันอุโบสถศีล คือวันพระจันทร์เต็มดวง กระต่ายจึงกล่าวเตือนแก่เพื่อนสัตว์ทั้งสามว่า

วันพรุ่งนี้ พวกท่านจงพากันรักษาศีล และให้ทานเถิด เพราะจะมีอานิสงส์อย่างสูง พวกท่านจงเตรียมอาหารไว้เพื่อเป็นทานแก่คนอื่นๆ เถิด

สัตว์ทั้งสามพากันรับคำด้วยความยินดี จากนั้นก็กลับไปยังที่อยู่ของตน

  
พอรุ่งเช้า...

พราน เบ็ดคนหนึ่งได้มาตกปลาที่ริมฝั่งน้ำใกล้ๆ บริเวณที่พวกสัตว์ทั้ง ๔ อาศัยอยู่ เขาตกได้ปลาตะเพียน ๗ ตัว เมื่อเขาปรารถนาจะย้ายที่ตกปลาไปยังที่แห่งใหม่ เขาจึงขุดทรายให้เป็นหลุม แล้วเอาปลาตะเพียนทั้งเจ็ดตัวซ่อนไว้ แล้วเกลี่ยทรายกลบ ทำเครื่องหมายให้ตนเองจำที่นั้นได้ แล้วย้ายไปยังที่แห่งใหม่

นากออกมาอาหารในที่แห่งนั้น คุณหนูๆ ควรทราบไว้ว่า นากมีจมูกที่สามารถสูดดมหากลิ่นปลาได้ดีมาก คงเหมือนจมูกมดนั่นแหละ นากจึงรู้ว่าบริเวณแห่งนั้นมีปลาอย่างแน่นอน มันทำจมูก ฟืดๆ สูดดมตามผืนทรายไม่กี่ครั้ง มันก็รู้ว่า มีปลาซ่อนอยู่ใต้ผืนทราย...

มันคุ้ยผืนทรายไม่กี่ครั้ง ปลาตะเพียนทั้งเจ็ดตัวก็อวดเกล็ดขาวๆ แก่สายตาของมัน มันร้องอุทานด้วยความตื่นเต้น

โอ้โห...ปลาตะเพียนตัวสวยๆ ตัวอ้วนๆ ตัวสดๆ เพิ่งตายใหม่ๆ หมาดๆ น่าอร่อยดีนักเชียว แต่เอ...มีใครเป็นเจ้าของปลาพวกนี้รึเปล่าหนอ

นาก ตัวนั้นแม้มีความยินดี ที่มันค้นหาอาหารเจอ แต่มันเป็นนากที่ยึดมั่นในโอวาทของกระต่ายอย่างมั่นคง มันจึงไม่ฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร และไม่ต้องการขโมยปลาของคนอื่นด้วย มันจึงส่งเสียงร้องถามไปว่า

มีใครเป็นเจ้าของปลาตะเพียนเหล่านี้รึเปล่า

เงียบ...ไม่มีเสียงตอบ เพราะนายพรานเบ็ดเดินเลยไปไกลแล้ว

มีใครเป็นเจ้าของปลาตะเพียนทั้งเจ็ดตัวนี้หรือเปล่า มันร้องถามเป็นครั้งที่สอง

เงียบ...มีแต่เสียงน้ำไหล และเสียงใบไม้ต้องลม

ฉันขอถามอีกครั้งว่า มีใครเป็นเจ้าของปลาตะเพียนทั้งเจ็ดตัวนี้หรือไม่ มันร้องถามเป็นครั้งที่สาม

เงียบ...ไม่มีใครแสดงตัวเป็นเจ้าของปลาตะเพียนเหล่านั้น นากยืนมองปลาตะเพียนอยู่ครู่ใหญ่ มันจึงตัดสินใจคาบปลาทั้งเจ็ดตัวกลับไปยังที่อยู่ของตน จากนั้นจึงนอนรักษาศีลด้วยความสบายใจ

ฝ่ายเจ้าลิงก็ตื่นแต่เช้า เข้าไปยังป่าลึก เก็บมะม่วงสุกมาเต็มหอบ ก่อนนอนรักษาศีลอยู่ในที่อยู่ของตัวเอง ส่วนกระต่ายเอาแต่รักษาศีลอย่างเคร่งครัด เลยไม่ได้ออกไปหาอาหารเตรียมไว้ แต่กระต่ายไม่ได้มีความกังวลว่าจะไม่มีอะไรเป็นทาน...

กระต่าย มีอะไรตุนเอาไว้อย่างนั้นหรือ...เปล่าหรอกคุณหนูๆ กระต่ายกินแต่หญ้า หญ้ามีอยู่ทั่วทุกหนแห่งในป่า กระต่ายจึงไม่มีความจำเป็นต้องกักตุนอะไรไว้เลย กระต่ายไม่มีความวิตก เพราะกระต่ายได้ตั้งปณิธานอันยิ่งใหญ่ไว้แล้ว คุณหนูคงอยากรู้ใช่ไหมว่า กระต่ายจะทำอย่างไร...

กระต่ายตัดสินใจแล้ว จึงนอนรักษาศีลและภาวนาต่อไปอย่างสงบ

นิทานธรรม// รักษ์ มนัญญา
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Thursday, September 4, 2014

หมากับแมว




ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว โจรได้เข้ามาขโมยแหวนของเจ้าของบ้าน แต่ก่อนนั้นแมวกับหมาพูดและรู้ภาษาคน คนก็รู้ภาษามัน ดังนั้นเมื่อโจรขโมยแหวนไปเจ้าของจึงให้หมากับแมวติดตามและแกะรอยนำของกลับคืนมา

แมวกับหมาเดินทางไปถึงที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีลำห้วยขวางอยู่ แมวว่ายน้ำไม่เป็น หมาจึงให้แมวขี่คอและว่ายน้ำข้ามห้วยไปได้ ทั้งสองเดินทางไปพบขโมยอยู่บ้านหลังหนึ่ง หมาบอกแมวว่า

เอ็งขึ้นไปบนบ้านเถอะ ข้าจะคอยอยู่ข้างล่างนี่แหละ


ครั้นแมวขึ้นไปบนบ้านหาแหวนไม่พบ จึงใช้ให้หนูไปกัดหีบ หนูกัดหีบแล้ว เข้าไปเอาแหวนมาให้แมว แมวและหมาจึงชวนกันกลับบ้าน พอถึงลำห้วยที่เดิมหมาก็ให้แมวขี่คอ ในมือแมวก็ถือแหวนอยู่ด้วย หมาก็ว่ายน้ำข้ามมาแต่พอเกือบถึงฝั่ง แมวก็กระโดดวื้ดขึ้นมาบนฝั่งวิ่งมาบ้านก่อนหมา ส่วนหมากว่าจะขึ้นจากน้ำได้ก็ช้าอยู่แล้วและเหนื่อยจากการว่ายน้ำด้วย

ครั้นแมววิ่งมาถึงบ้านก่อน แล้วเอาแหวนให้เจ้าของบ้าน พร้อมกับแสดงความรักกับเจ้าของบ้านโดยการเคล้าแข้งเคล้าขาร้องเหมียว ๆ ไปมา เคล้าแข้งเคล้าขาประจบเจ้าของอยู่นั่นเอง และยังโกหกเจ้าของบ้านว่า

หมาไม่ช่วยอะไรเลย มัวแต่ว่ายน้ำเล่นอยู่ไม่สนใจอะไรเลย ข้าอุตส่าห์ไปค้นหาแหวนคนเดียวจนได้เอามาให้อย่างที่เห็นนี่แหละ


ครั้นเจ้าของบ้านได้ยินแมวบอกดังนั้นจึงโกรธหมา ไม่รอให้หมามาถึงก่อนแล้วค่อยถามเรื่องราวว่าความจริงเป็นอย่างไร ฟังความจากแมวข้างเดียว และวางแผนจะตีหมาให้ตาย จึงถือตะบองมาดักรอหมาอยู่ที่ประตูบ้าน หมามาถึงยังไม่ทันรู้เรื่องอะไร นึกว่ามาถึงบ้านแล้วเจ้าของจะแสดงความดีใจที่อุตส่าห์ไปเหน็ดเหนื่อยหาแหวนมาคืนให้ได้ มาถึงโดนตะบองผัวะ ๆ พร้อมกับด่าว่า

เอ็งมัวแต่ไปเล่นที่ไหน ไม่ยอมช่วยตามหาแหวนให้ข้า

หมารู้ว่าที่ตนถูกตีเพราะแมวใส่ความทำให้ตนเสื่อมเสีย หมาจึงแค้นแมวยิ่งนักอาฆาตว่า

คอยดูเถอะแมว เอ็งใส่ร้ายข้า ทำให้ข้าเสื่อมเสียอย่างนี้ คอยดูถ้าเอ็งลงดินเมื่อไร ข้าจะไล่กัดให้ตายคาปากคอยดูเถอะ

ตั้งแต่วันนั้นมาเจ้าของบ้านไม่ให้หมาขึ้นไปนอนบนบ้านอีก หมาจึงจำใจต้องนอนใต้ถุนบ้าน ส่วนแมวได้นอนฟูกสบายมาก ก็ด้วยเหตุที่แมวรู้จักประจบเจ้าของบ้านนั้นเอง และยังรู้จักใส่ความให้ผู้อื่นเสื่อมเสีย หมาจึงได้ลงมานอนบนพื้นดิน (ใต้ถุนบ้าน) จนถึงปัจจุบันนี้

ด้วยสาเหตุดังกล่าวหมากับแมวจึงโกรธกัน พบหน้ากันเมื่อไรไล่กัดกันทุกครั้งไป


 
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

การเป็นคนหูเบา ฟังความข้างเดียว ทำให้ขาดความยุติธรรม
 
แหล่งที่มา  http://mothercorner.com
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต