Wednesday, August 25, 2010

เกือบไปแล้ว

สายวันหนึ่ง....ลูกหมูน้อยออกไปเดินเที่ยวในป่าเพียงลำพัง ขณะที่กำลังเพลิดเพลินเก็บดอกไม้ป่าอยู่นั้น...

"อู้ฮู...ดอกไม้ออกดอกสวยสะพรั่งเต็มไปหมดเลย เก็บเอาไปฝากคุณแม่บ้างดีกว่า" ลูกหมูคิด

.....มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งเดินผ่านมาพบเข้า

"ว้าว! เจ้าลูกหมูนั่นเนื้อแน่นน่าหม่ำเหลือเกิน แหม...อยู่ตัวเดียวเสียด้วยสิ เสร็จเราละ" สุนัขจิ้งจอกคิด

สุนัขจิ้งจอกรีบเดินตรงรี่เข้าไปหาลูกหมูน้อย...

"นี่แน่้่ะ...เจ้าลูกหมูตัวน้อย หันมานี่หน่อยสิ ฉันมีอะไรดีๆ จะให้เจ้าดู" สุนัขจิ้งจอกพูด

ลูกหมูน้อยตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อได้ยินเสียงของสุนัขจิ้งจอก

"จะให้..ผ..ผะ..ผมดูอะไรหรือครับ?" ลูกหมูถาม

"ก็เขี้ยวอันแข็งแกร่งซึ่งพร้อมจะขย้ำเจ้านี่ไงล่ะ...ฮะ ๆ ๆ" สุนัขจิ้งจอบตอบ

แต่ก่อนที่เหตุการณ์ร้ายแรงจะเกิดขึ้น คุณช้างก็ผ่านมาพบเข้าพอดี

"หยุดนะ! นั่นเจ้าจะทำอะไรลูกหมูน้อย...ฮึ?"  ช้างพูด

คุณช้างได้จัดการไล่สุนัขจิ้งจอกจนโกยอ้าวไป

"โอ...ขอบพระคุณมากนะครับ นี่ถ้าคุณลุงไม่ผ่านมาช่วยไว้ ผมคงถูกเจ้าจิ้งจอกเล่นงานไปแล้วแน่ๆ!" ลูกหมูพูด

เฮ้อ! ลูกหมูน้อยเกือบโชคร้ายเสียแล้ว แต่ยังดีที่คุณช้างมาช่วยไว้ได้ทัน น้องๆ ก็เช่นกัน ไม่ควรออกไปเที่ยวที่ไหนตามลำพังนะคะ เพราะอาจเกิดอันตรายได้

ในสำนวนไทยเรียก ผู้ที่มาช่วยเหลือเราในยามที่กำลังเดือดร้อนได้ทันท่วงที แบบคุณช้างนี้ว่า

"พระมาลัยมาโปรด"


แหล่งข้อมูลอ้า่งอิง    :   เอกสารส่งเสริมการอ่าน ปี 2550
                                โรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม
                                

Tuesday, August 24, 2010

สุนัขจิ้งจอกกับแพะ

สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง กระหายน้ำเป็นอันมาก มันเดินซอกซอนหาน้ำดื่มไปจนทั่้ว จนในที่สุดก็พบกับบ่อน้ำหนึ่งเข้า จึงตรงเข้าไปที่บ่อน้ำนั้น อย่างกระหายและคิดที่จะดื่มกินให้สมใจอยาก แต่แล้ว ด้วยความประมาท ร่างของมันก็ตกลงไปในบ่อน้ำ มันพยายามปีนขึ้นมาเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งมีแพะตัวหนึ่งเดินมาที่บ่อน้ำ เห็นร่างของสุนัขจิ้งจอกลอยคออยู่ในบ่อ จึงร้องถามขึ้นว่า "ท่านลงไปในบ่อนั้นทำไมกันรึ" สุนัขจิ้งจอกได้ฟังดังนั้นก็คิดอุบายขึ้นได้ทันที "ที่ข้าลงมาอยู่ในบ่อนี้ก็เพราะว่าน้ำในนี้มันอร่อยน่ะสิ อร่อยจนข้าคิดที่จะดื่มให้หมดเลย"

"อย่างนั้นเชียวรึ!!!" เจ้าแพะผู้โง่เขลาร้องถาม และด้วยความเชื่อมันเลยกระโดดลงไปในบ่อน้ำนั้นโดยไม่คิดอะไรแม้แต่น้อย สุนัขจิ้งจอกได้โอกาสจึงกระโดดขึ้นไปบนหลังแพะแล้วปีนขึ้นมาจากบ่อน้ำได้ในที่สุด ปล่อยให้เจ้าแพะหน้าโง่ลอยคออยู่ในบ่อน้ำนั้น "ท่านหลอกลวงข้า" เจ้าแพะโง่กล่าว "เพื่อหวังผลประโยชน์จากข้าเท่านั้น!"

"ก็คงใช่" สุนัขจิ้งจอกตอบโต้ "แต่ที่เป็นเช่นนี้เพราะความเขลาของเจ้าเอง ที่กระโดดลงไปโดยไม่คิดแม้แต่น้อย ข้าเชื่อว่าขนที่หนวดบนคางของเจ้าน่ะ มีมากกว่ามันสมองของเจ้าที่มีอยู่น้อยนิดเสียอีก"

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :  คนโง่ย่อมตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด


แหล่งข้อมูลอ้างอิง  :   ใบงานการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน ชุดที่ 2 
                               ป. 5  ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2552
                               โรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม

Sunday, August 22, 2010

เจ้าไม่ได้ฝากอะไรไว้ที่ข้าเลย

ก่อนที่เด็กหนุ่มจะเดินทางไปต่างจังหวัด ได้ฝากเงินไว้ที่ตาเฒ่าผู้หนึ่ง เป็นจำนวนเงิน 1,000 บาท เมื่อกลับมาจากต่างจัีงหวัดแล้ว เขาไปขอรับเงินคืน แต่ตาเฒ่าปฏิเสธเรื่องเงินฝาก บอกว่า "เจ้าไม่ได้ฝากอะไรไว้ที่ข้าเลย"

เด็กหนุ่มได้ไปขอพึ่งความยุติธรรมจากศาล ผู้พิพากษาเรียกตัวผู้เฒ่าไปที่ศาล "เด็กหนุ่มคนนี้ฝากเงินไว้ที่ท่านใช่ไหม?" ตาเฒ่ายืนกราน "ไม่ได้ฝากไว้ ไม่มีเลย" ผู้พิพาษาจึงถามเด็กหนุ่มว่า "เจ้ามีพยานไหม?" เด็กหนุ่มตอบ "ไม่มีครับ" ผู้พิพากษาถามเด็กหนุ่มต่อไป "ขณะที่เจ้าเอาเงินไปฝากไว้กับตาเฒ่านั้น เจ้าสองคนอยู่ที่ไหน?" "เรานั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ครับ" "ทำไมเจ้าบอกว่าไม่มีพยานล่ะ?"...."ต้นไม้ใหญ่เป็นพยานให้เจ้าได้" ผู้พิพากษาพูด

แล้วผู้พิพากษากล่าวเสียงดังว่า "เจ้าจงไปที่ต้นไม้ใหญ่บอกว่าข้าเรียกตัวมาที่ศาล" ตาเฒ่ายิ้มชอบใจ แต่เด็กหนุ่มกลับลังเลใจ กล่าวว่า "ผมกลัวว่าต้นไม้ใหญ่จะไม่ยอมเชื่อหมายศาลของใต้เท้ามากกว่า" ผู้พิพากษาบอกให้วางใจ "เจ้านำแหวน ซึ่งเป็นตราของข้าไปให้ต้นไม้ดู แล้วบอกมันว่าดูซิ นี่เป็นตราของผู้พิพากษานะ ต้นไม้ก็จะต้องมาแน่นอน"

เด็กหนุ่มนำตราของผู้พิพากษาเดินทางไปไ้ด้สักครู่ใหญ่ ผู้พิพากษาก็ถามตาเฒ่าว่า "นี่ ท่านลองกะดูทีซิว่า เจ้าเด็กหนุ่มไปถึงต้นไม้ใหญ่แล้วหรือยัง?" ตาเฒ่าตอบ "อ้อ...คงจะถึงแล้ว"

เด็กหนุ่มเรียกตัวต้นไม้เป็นพยานไม่ได้ผล จึงกลับไปบอกผู้พิพากษาตามความจริง "ผมเอาตราของท่านให้มันดู แต่มันไม่สนใจอะไรเลยครับท่าน" ผู้พิพากษาตอบ "ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นได้มาแล้วและได้ให้ปากคำต่อหน้าบัลลังก์เรียบร้อยแล้ว"

ตาเฒ่ารู้สึกตื่นเต้นในขณะนั้น "ใต้เท้าว่าอะไรนะ? ต้นไม้ต้นนั้นไม่ได้มาเลย" "เป็นความจริง มันไม่ได้มาเลย" ผู้พิพากษาประกาศ แล้วกล่าวต่อไปว่า "เมื่อกี้นี้ เราถามท่าน เจ้าหนุ่มไปถึงต้นไม้ใหญ่แล้วหรือยัง?" ท่านก็บอกเราว่า "คงจะถึงแล้ว ถ้าท่านไม่ได้รับเงินจากเจ้าหนุ่มที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ท่านจะต้องถามเราว่า ต้นไม้ต้นไหน? ไกลจากที่นี่มากไหม? คำตอบของท่านเมื่อกี้นี้ จึงพิสูจน์ได้ว่า เด็กหนุ่มพูดความจริง"....ผู้พิพากษาจึงตัดสินให้คืนเงินแก่เด็กหนุ่ม และลงโทษตาเฒ่าอีกด้วย

นิทานจบแล้วค่ะ เห็นไหมคะน้องๆ ว่าการโกงคนอื่นเป็นสิ่งไม่ดี อย่าคิดว่าทำแล้วจะไม่มีใครจับได้นะคะ ถึงไม่มีใครจับได้เราก็ย่อมรู้แก่ใจตัวเองอยู่ดีว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นถูกหรือเปล่า


ผู้แต่ง                    :    พี่อ้อย

แหล่งข้อมูลอ้างอิง   :    หนังสืออุดมศานต์
                                 ปีที่ 86 เดือน พฤศจิกายน 2549/2006

Saturday, August 21, 2010

แม่มดจอมสกปรก

ครั้งหนึ่ง ยังมีแม่มดตนหนึ่งอาศัยอยู่ในห้องเหม็น อับๆ และสกปรกมากๆ ที่ปราสาทแห่งหนึ่ง

วันหนึ่งแม่มดสั่งให้ลูกสมุนของตนไปจับเด็กมาสิบคน เพื่อเป็นส่วนผสมปรุงยา แม่มดบอกว่าเธอต้องการ เด็กที่สกปรกที่สุด ผมยาวรุงรัง หน้าตาเลอะ ไม่ล้างหน้า เล็บมือเล็บเท้าดำ เพราะไม่ยอมตัดเล็บ มีขี้ฟันเยอะๆ เพราะขี้เกียจแปรงฟัน และเด็กที่ไม่ชอบอาบน้ำ

สมุนของแม่มดออกไปเสาะหาเด็กสกปรกโดยปลอมตัวเป็นสาวสวยใจดีเอาขนมไปให้เด็กๆ กิน เด็กๆ สิบคนกินขนมเข้าไป แล้วสมุนแม่มดก็บอกให้เด็กๆ กลับมาเจอกันอีกภายในสองอาทิตย์

เมื่อเด็กๆ กลับไปที่บ้าน แม่ๆ ของเด็กแต่ละคนก็บอกให้เด็กๆ ไปอาบน้ำ สระผม เปลี่ยนเสื้อผ้า กินข้าว เด็กๆ หายไปในห้องน้ำแป็บเดียวก็กลับออกมากินข้าว และก่อนเข้านอน แม่ๆ บอกให้ไปแปรงฟัน แต่เด็กๆ ก็ไม่สนใจ

วันแล้ววันเล่า พวกเด็กๆ ทั้ง 10 คน ก็ไม่ยอมอาบน้ำ แปรงฟัน สระผม ปล่อยให้เล็บมือเล็บเท้าดำสกปรก พ่อแม่และผู้ใหญ่ตักเตือนก็ไม่ฟัง

เมื่อครบ 2 อาทิตย์ สมุนของแม่มดก็มาหาเด็กๆ และรับเด็กๆ ให้ไปที่ปราสาทของแม่มดเพราะมีขนมอร่อยๆ อีกมาก แม่มดบอกเด็กๆ ว่าให้เด็กๆ ไปเล่นในห้อง ในห้องนั้นมีขนม และของเล่นมากมาย เด็กๆ เพลิดเพลินกับของเล่นและกินขนมที่มีสีสันสวยงาม จนถูกแม่มดจับขังรวมกันได้อย่างง่ายดาย

เด็กๆ ต่างตกใจกลัว ร้องไห้หาพ่อแม่กันจ้าละหวั่น เสียงร้องไห้ดังออกมานอกปราสาท โชคดีมีนางฟ้าผ่านมาได้ยินเข้าจึงแวะมาดู เด็กๆ รีบเล่าเรื่องให้นางฟ้าฟัง และขอร้องให้นางฟ้าช่วย

นางฟ้าไม่สามารถเสกให้กรงขังหายไป แต่ก็คิดวิธีช่วยเด็กๆ ได้ เธอจึงเสกสระน้ำ พร้อมสบู่ ยาสีฟัน ยาสระผม และเสื้อผ้าชุดใหม่ ให้เข้าไปอยู่ในกรง แล้วก็จากไป เด็กๆ ทุกคนพยายามอาบน้ำให้สะอาด เมื่อแม่มดกลับมาที่กรงขังได้กลิ่นสบู่หอมของความสะอาดเข้า ก็ถึงกับเข่าอ่อน ในที่สุดก็ล้มลงขาดใจตาย เวทมนตร์ทั้งหลายก็เสื่อมคลายไป สมุนก็ตายตามไปด้วย

พวกเด็กๆ รีบหนีวิ่งกลับบ้านไปหาพ่อแม่ ผู้ปกครอง และสัญญาว่าจะไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าและจะรักษาความสะอาด พ่อแม่และผู้ใหญ่ต่างก็ชื่นชม


ผู้แต่ง                      :    พี่อ้อย

แหล่งข้อมูลอ้างอิง     :    หนังสืออุดมศานต์
                                   ปีที่ 87 เดือน สิงหาคม 2550/2007

ดีหรือไม่ดี....ยากที่จะบอก

นานมาแล้ว มีพระราชาองค์หนึ่ง พระราชาองค์นี้ มีคนสนิทคนหนึ่งที่พระองค์สนิทมาก และมักจะพาไปไหนมาไหนด้วยเสมอในทุกๆ ที่ แล้ววันหนึ่ง พระราชาก็ถูกสุนัขตัวหนึ่งกัดนิ้วจนเป็นแผลฉกรรจ์มาก พระราชาจึงถามคนสนิทว่า นี่เป็นลางไม่ดีของพระองค์หรือเปล่า คนสนิทกลับตอบว่า "ดีหรือไม่ดี ยากที่จะบอก"

และในที่สุด พระราชาก็ถูกตัดนิ้ว และพระราชาก็ถามคนสนิทอีกว่า นี่เป็นลางไม่ดีของพระองค์หรือเปล่า คนสนิทกลับตอบว่า "ดีไม่ดี ยากที่จะบอก" พระราชาโกรธมาก เลยจับคนสนิทขังไว้ในคุก

วันหนึ่ง พระราชาก็ได้เสด็จออกป่าล่าสัตว์ พระองค์ทรงตื่นเต้นมาก แล้วก็มุ่งเข้าไปในป่า ลึกเข้าไปเรื่อยๆ เมื่อมารู้ตัวอีกทีก็พบว่า พระองค์ได้หลงทางเสียแล้ว แต่ก่อนที่อะไรจะเลวร้ายไปกว่านั้น พระองค์ก็ได้พบกับชนเผ่าพื้นเมืองในป่าแห่งนั้น คนป่าพวกนั้นต้องการจับพระราชาไปบูชายัญ แต่พวกเขาพบว่าพระราชานิ้วขาด จึงรีบปลดปล่อยพระองค์ เพราะเชื่อว่าพระราชาไม่ใช่มนุษย์ที่สมบูรณ์เลย และไ่ม่เหมาะที่จะนำไปบูชายัญ พระราชาจึงตัดสินใจกลับพระราชวังในที่สุด

และสุดท้าย พระองค์ก็เข้าใจคำพูดของคนสนิทที่บอกว่า "ดีไม่ดี ยากที่จะบอก" เพราะถ้าพระองค์มีนิ้วครบสมบูรณ์ พระองค์ต้องถูกฆ่าโดยคนป่าพวกนั้นอย่างแน่นอน พระราชาจึงสั่งปล่อยคนสนิท และขอโทษเขา แต่พระราชากลับประหลาดใจ เมื่อคนสนิทกลับไม่โกรธพระองค์เลย ในทางตรงข้ามเขากลับบอกว่า มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเลยที่ท่านขังข้าไว้ ทำไมงั้นหรือ เพราะว่าถ้าพระองค์ไม่ขังข้าไว้ ข้าก็ต้องตามท่านไปในป่าและในเมื่อท่านไม่เหมาะจะถูกบูชายัญ ข้าคงจะถูกนำไปบูชายัญแทนเป็นแน่

เรื่องนี้อาจกล่าวได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ไม่มีการสรุปได้อย่างแน่นอนว่า "ดี หรือ ไม่ดี" บางครั้งสิ่งที่ดี อาจจะกลายเป็นสิ่งที่เลวร้าย ในขณะที่สิ่งที่เลวร้ายอาจกลายเป็นดีได้ สิ่งดีๆ อะไรก็ตาม ที่เกิดขึ้นกับเรา จงสนุกสนานกับมัน แต่อย่าไปยึดติดกับมัน จงคิดเสียว่ามันเป็นสิ่งที่มาสร้างความประหลาดใจให้กับชีวิตของเรา อะไรต่างๆ ที่มันเลวร้าย ซึ่งเกิดขึ้นกับเรา เราไม่จำเป็นต้องไปเศร้าเสียใจ สุดท้าย มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเสมอไป ถ้าเราเข้าใจได้อย่างนี้เราอาจจะพบว่า การใช้ชีวิตนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย


ผู้แต่ง                     :    พี่อ้อย

แหล่งข้อมูลที่มา       :     หนังสืออุดมศานต์
                                  ปีที่ 86 เดือน กันยายน 2549/2006

ว่าง่าย

ครั้งหนึ่งมีชาย 2 คนชื่อ จอม กับ จิต เป็นเพื่อนกัน จอมมีเรืออยู่ลำหนึ่ง วันหนึ่งเกิดน้ำท่วม จิตจึงขอนั่งไปกับเรือของจอม โดยจิตนั่งอยู่หัวเรือ ส่วนจอมนั่งอยู่ท้ายเรือ และเป็นคนพายเรือไป

เมื่อพายเรือไปได้สักพักหนึ่ง เรือก็รี่ตรงไปจะชนต้นไม้ จิตตกใจกลัวก็บอกว่า "ซ้ายหน่อยๆ" จอมก็พายงัดเล็กน้อย เรือก็ไม่ชนต้นไม้ พายรอดไปได้

เมื่อพายต่อไปเรือก็ตรงรี่จะไปชนบ้าน จิตเห็นดังนั้นตกใจ ร้องบอกว่า "ขวาหน่อยๆ" จอมก็พายงัดเล็กน้อย เรือก็รอดไปได้โดยไม่ชนบ้าน

จิตเลยเกิดสงสัยจึงถามจอมว่า "นี่เรือทำด้วยอะไรนะถึงว่าง่ายอย่างนี้" "ทำด้วยไม้ตะเคียนนะซิ" จอมตอบ

เมื่อจิตกลับถึงบ้านก็บอกกับครอบครัวว่า "นี่ไม้ตะเคียนนี่ว่าง่ายจัง ฉันอยากจะขุดเรือจากไม้ตะเคียนสักลำ ที่ข้างบ้านเรามีไม้ตะเคียนอยู่ต้นหนึ่ง เดี๋ยวฉันจะไปโค่นมาขุดทำเรือนะ"

คนในครอบครัวก็บอกว่า "มันจะทับบ้านพังนะ" "ไม่ทับหรอก ไม้ตะเคียนมันว่าง่ายจะตาย" จิตรีบอธิบายสรรพคุณของต้นตะเคียน

ว่าแล้วจิตก็คว้าขวานไปฟันต้นตะเคียนทันที ฟันไปๆ จวนจะขาด มันก็ค่อยๆ เอนลงจะทับบ้าน จิตก็ยืนโบกมือร้องตะโกนไปว่า "ซ้ายหน่อยๆ" ต้นตะเคียนก็ล้มโครมลงทับหลังคาบ้านพังไปเรียบร้อย จิตก็บ่นในใจว่า "เอ๊ะ! ต้นตะเคียนบ้านเรานี่ มันทำไมจึงดื้อจัง ไม่เหมือนต้นตะเคียนของจอมเลย ว่าง่ายแท้ๆ"

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การเข้าใจอะไรที่ไม่ถูกต้องหรือการหลงเชื่อในสิ่งที่ผิดๆ จะนำมาซึ่งความหายนะ ฉะนั้น ก่อนที่จะเชื่อสิ่งใด ควรพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบ โดยใช้เหตุผล


ผู้แต่ง               :   พี่อ้อย

แหล่งข้อมูลที่มา :    หนังสืออุดมศานต์
                            ปีที่ 87 เดือน มกราคม 2550/2007

เพื่อน 4 ตัว

ณ ป่าแห่งหนึ่งมี กบ ม้า เต่า และค้างคาว เป็นเพื่อนรักกัน สัตว์ทั้ง 4 ต่างช่วยกันทำมาหากินมาโดยตลอด จนมาวันหนึ่งเจ้าจระเข้ผู้เป็นใหญ่ในบึงประจำป่า จัดงานฉลองครบรอบ 40 ปีที่มันมาอาศัยอยู่ ณ บึงแห่งนี้ สัตว์ทั้ง 4 พากันมาร่วมงาน โดยมี กบ เต่า และค้างคาว ขี่่หลังม้าเพื่อนรักมา เจ้าจระเข้เห็นสัตว์ทั้ง 4 มาร่วมงาน จึงเข้าไปทักทายในฐานะเจ้าภาพ จระเข้เข้าไปทักทายกับเต่า เพราะตนเคยพบกับเต่าหลายครั้งที่ข้างบึงจึงมีความคุ้นเคยมากกว่าสัตว์ตัวอื่ืน

"นี่ เจ้าเต่าน้อย เจ้านี่มัีนโชคดีจริงๆ ที่มีเพื่ีอนแบบนี้ ไปไหนก็คล่องให้เจ้าม้าพาไป จะว่ายน้ำก็ใช้ให้เจ้ากบไปแทน ดึกๆ อยากกินอะไรก็ให้เจ้าค้างคาวบินไปเอาให้ ข้าอยากรู้นัก ทำไมพวกมันจึงยอมให้เจ้าเอาเปรียบขนาดนี้" เจ้าจระเข้กล่าวเหน็บแนม ก่อนจะเดินจากไป

หลังจากเลิกงาน เจ้าเต่านั่งเศร้าด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่ค่อยจะได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนได้เท่าไหร่โดยมีสัตว์อีก 3 ตัวซึ่งนั่งช่วยปลอบว่า "ไม่เป็นไรหรอก ก็เราเพื่อนกันนี่นา แกก็ไม่ได้ตัวหนักซะหน่อย" เจ้าม้าพูด "อืม... ที่ทำไปพวกเราก็เต็มใจทั้งนั้น" เจ้าค้างคาวพูด เจ้าเต่ารู้สึกดีขึ้น

15 ปี ผ่านไป สัตว์ทั้ง 3 เริ่มแก่ตัวลง มีเพียงเจ้าเต่าที่ดูหนุ่มแน่นขึ้นทุกวัน วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้าเต่า ทั้ง 4 ตัวมานั่งคุยกัน เจ้าม้าเป็นผู้เริ่มบทสนทนา

"ข้ามันแก่ตัวลงทุกวัน จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้" เจ้าม้ากล่าวถึงสภาพของตัวเอง

"ข้าก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเจ้าเท่าไหร่หรอก ไม่รู้ว่าข้าจะตายแล้วลูกหลานข้านับร้อยตัวจะเป็นยังไงมั่ง"
เจ้ากบก็พูดในทำนองเดียวกัน

เจ้าค้างคาวพูดบ้าง "เจ้าเต่า พวกเราคงต้องฝากเจ้าแล้วล่ะ พอพวกเราตาย เจ้าต้องคอยดูแลลูกหลานให้พวกเราด้วยนะ"

"ถึงพวกเจ้าไม่บอก ข้าก็ต้องทำ" เจ้าเต่าพูดอย่างมั่นใจ

บางครั้ง "เวลา" จะเป็นเครื่องวัดคุณค่าของคน


ผู้แต่ง              :   นายวงศกร ใจฮวบ
                          ชั้น ม. 6/1 โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกมัธยม

แหล่งข้อมูลที่มา:   หนังสืออัสสัมชัญสาส์น
                          ศตวรรษที่ 2 ปีที่ 18 ฉบับที่ 126 เดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม พ.ศ. 2547

Wednesday, August 18, 2010

ช้างตาเล็กกับเสือตัวลาย

ยังมีเสือหนุ่มตัวหนึ่งดุร้ายมาก วันหนึ่งออกไปหากินตามปกติ ขณะที่มันสอดส่ายสายตาหาเหยื่ออยู่นั้น มันก็เห็นช้างตัวหนึ่งกำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ จึงวางแผนที่จะจับช้างให้ได้ แล้วเสือก็เดินตรงไปหาช้างทันที

ฝ่ายช้างเมื่อเห็นเสือเดินตรงมาหา จึงทำใจดีสู้เสือ แล้วพูดกับเสือไปว่า "สวัสดี เจ้าเสือผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าจะไปไหนหรือ"  "ฉันก็จะมาจับเจ้าไปเป็นอาหารนะสิ" เสือตอบ "ช้าก่อน เจ้าคงไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นอิสระแล้ว ฉันเป็นเชลยอยู่" ช้างพูด เสือตอบว่า "อย่ามาหลอกกันเลย เจ้าตัวใหญ่ออกอย่างนี้ ใครจะกล้ามาจับเจ้าเป็นเชลยได้ นอกจากฉันเจ้าป่าผู้ยิ่งใหญ่" ช้างตอบว่า "นี่ไงเห็นมั้ย ขาของฉันถูกล่ามโซ่อยู่กับต้นไม้ก็เพราะฉันตกเป็นเชลยของมนุษย์" ช้างพูดพร้อมยกขาที่ถูกล่ามโซ่ให้เสือดู

"อะไรก้ันมนุษย์ตัวเล็กนิดเดียว ยังจับเจ้าล่ามโซ่ได้หรือ" เสือถามอย่างสงสัย "ก็ใช่นะซิ มนุษย์ตัวเล็กๆ นี่แหละ ถึงจะไม่มีเขี้ยวเล็บ ไม่มีเขาหรืองา แต่มนุษย์มีปัญญา" ช้างตอบยืนยัน เสือพอได้ยินช้างพูดถึงคำว่า "ปัญญา" ก็สนใจ จึงถามช้างว่า "แล้วปัญญามันวิเศษขนาดไหนเชียว ถ้าฉันเจอละก็จะจับกินเสียให้เข็ด"

"ปัญญาของมนุษย์ก็อยู่ที่ตัวมนุษย์สิเจ้าเสือเอ๋ย ถ้าเจ้าอยากเห็นจริงๆ ละก็ รีบแก้โซ่ที่ผูกขาฉันออกสิ แล้วฉันจะพาไปดู" "ได้เลย" เสือพูด แล้วตรงเข้าไปแก้โซ่ที่ผูกขาช้างออก แล้วช้างก็เดินนำหน้าเสือ มุ่งสู่บ้านมนุษย์ทันที

เมื่อถึงบ้านมนุษย์แล้ว ช้างก็ตะโกนเรียกมนุษย์ให้ออกมาพบกันข้างนอก ฝ่ายมนุษย์ไม่รู้ว่าใครมาเรียกก็ออกมาจากบ้านโดยที่ไม่ได้ระวังตัว ทันใดนั้นเสือซึ่งรอจังหวะอยู่แล้ว จึงตะครุบตัวมนุษย์ไว้ในกรงเล็บอย่างง่ายดาย

มันหัวเราะเยาะด้วยเสียงอันดัง ที่สามารถเอาชนะมนุษย์ผู้พิชิตช้างได้ เสือจึงหันไปพูดกับช้างว่า "เจ้าช้าง ไหนเจ้าว่ามนุษย์มีปัญญาเก่งกล้า ยังไม่ทันได้ต่อสู้เลย ฉันก็จับมันได้แล้ว และฉันจะกินมันเสียเดี๋ยวนี้แหละ"

มนุษย์เมื่อได้ยินเสือพูดอวดตัวเช่นนั้น ก็ใช้ปัญญาของตนต่อสู้กับเสือทันที โดยพูดกับเสือว่า "ช้าก่อนเจ้าเสือ ถ้าเจ้ากินฉันตอนนี้ เจ้าก็จะไม่มีโอกาสเห็นตัวปัญญาของฉันเลย" เสือได้ยินดังนั้นก็หยุดชะงัก แล้วถามมนุษย์ไปว่า

"ไหนละเจ้าตัวปัญญาของเจ้า ก่อนตายเอาออกมาอวดฉันหน่อยเป็นไง" "ได้ซิ ถ้าเจ้าอยากดู แต่ตัวปัญญาของฉันอยู่ในบ้าน ถ้าอยากเห็น เจ้าต้องปล่อยฉันก่อน ฉันจะได้จูงมัีนออกมาให้เจ้าดู"

ฝ่ายเสืออยากเห็นตัวปัญญา จึงหลงกลปล่อยมนุษย์ไป มนุษย์เมื่อถูกปล่อยตัวเป็นอิสระแล้ว ก็วางแผนจัดการกับเสือทันที โดยพูดขู่เสือไปว่า "ระวังนะเจ้าเสือ ตัวปัญญาของฉันมันตกใจง่าย ถ้ามันเห็นเจ้าเข้า มันจะวิ่งหนีเข้าบ้าน แล้วจะไม่ยอมออกมาอีกเป็นอันขาด" "แล้วเจ้าจะให้ฉันทำอย่างไร" เสือถาม "ไม่ยาก เจ้ามาให้ฉันจับมัดไว้กับต้นไม้เสียก็สิ้นเรื่อง" มนุษย์เสนอความคิด "ตกลง" เสือตอบ

มนุษย์ก็จัดการมัดเสือไว้กับต้นไม้ แล้วก็เดินเข้าไป และออกมาพร้อมกับหวายในมือ เสือเห็นมนุษย์ถือหวายออกมาก็แปลกใจ จึงถามว่า "ไหนละตัวปัญญาของเจ้า ไม่เห็นจูงออกมาให้ฉันดู" มนุษย์ชูหวายขึ้นแล้วพูดว่า "นี่ไงละตัวปัญญาของฉัน" "นั่นมันหวายจะเป็นตัวปัญญาได้อย่างไร" เสือแย้ง "นี่แหละตัว 'ปัญญา' ของฉัน เจ้ามันอวดเก่งนัก ฉันจะสั่งสอนให้รู้สำนึกเสียบ้าง"

พอมนุษย์พูดขาดคำ ก็หวดเสือด้วยหวายอย่างมันมือ จนนับครั้งไม่ถ้วน ฝ่ายช้างที่ยืนดูอยู่ใกล้ๆ ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ก็หัวเราะด้วยความชอบใจเพราะตัวปัญญาของมนุษย์ มนุษย์ไม่เพียงรอดชีวิต มันเองก็รอดชีวิตด้วย ช้างหัวเราะใหญ่ หัวเราะเสียจนน้ำตาไหลพรากอาบแก้ม ดวงตาของช้างเลยเล็กลง เล็กลง เหลือเท่าที่เห็นจนทุกวันนี้

ฝ่ายเสือเมื่อถูกโบยด้วยหวายก็เจ็บปวดแสนสาหัส ดิ้นทุรนทุรายไปมาจนเชือกขาด มันจึงวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต จนถึงบัดนี้เสือก็ยังไม่รู้ว่าปัญญาของมนุษย์คืออะไร เสือเดินโซซัดโซเซ ไปขอความช่วยเหลือจากสัตว์ในป่าให้ช่วยรักษารอยแผลจากการถูกโบยด้วยหวาย แต่ไม่มีสัตว์ใดช่วยเหลือเจ้าเสือ มีแต่จะสมน้ำหน้า เสือจึงได้หลบหน้าสัตว์อื่นๆ ฉะนั้นตามร่างกายของเสือเป็นรอยหวายที่ถูกหวดจากมนุษย์ผู้มีปัญญา นับตั้งแต่นั้นมาเสือจึงมีลวดลายบนตัวของมันอย่างที่เห็นทุกวันนี้


ผู้แต่ง                      :   พี่อ้อย

แหล่งที่มาของข้อมูล   :   อุดมศานต์
                                  ปีที่ 87 เดือนมิถุนายน 2550/2007

Friday, August 13, 2010

ยักษ์วิเศษ

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายตัดฟืนอาศัยอยู่ในป่า ทำมาหากินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต วันหนึ่งมีเทวดามาปรากฎตัวต่อหน้าชายตัดฟืน "เราจะมอบของล้ำค่า เพื่อเป็นรางวัลตอบแทนที่เจ้าเป็นคนดี มันคือ ยักษ์วิเศษ"

เทวดากล่าวว่า "เจ้ายักษ์คนนี้มีความสามารถสูง มันเกิดมาเพื่อทำงาน มันสามารถทำงานให้เจ้า่ได้ทุกอย่าง และทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญมันทำงานได้เร็วมากเลย"

"แต่..." เทวดาเว้นวรรคเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ "เจ้าต้องระวังหากไม่สามารถหางานให้มันทำได้ละก็ มันจะกลับมาเล่นงานเจ้าเอง มันจะเล่นงานเจ้า่ถึงตายเชียวนะ" ชายตัดฟืนได้มอบหมายงานให้ยักษ์ไปทำความสะอาดบ้านที่รกรุงรัง ตัวเขาเองก็กระหยิ่มใจที่ได้พัก ขณะที่เขากำลังจะเอนตัวลงงีบก็ได้ยินเสียงดังชัดเจนข้างๆ หู ว่า "นายๆ ข้าทำความสะอาดบ้านเสร็จแล้ว มีอะไรให้ข้าทำอีก" ชายตัดฟืนกวาดสายตาไปรอบๆ บ้านอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง บ้านสะอาดหมดจดอย่างไม่มีที่ติ เขาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสั่งให้ยักษ์ไปตัดฟืนที่เขาทำค้างไว้เป็นงานชิ้นใหญ่ที่ทำให้เขาพอมีเวลาพักผ่อน

จากนั้นชายตัดฟืนได้ไปปรึกษาท่านผู้รู้ประจำหมู่บ้าน เจ้ายักษ์เสร็จงานผ่าฟืนพอดี "นายๆ ข้าผ่าฟืนเสร็จแล้วมีอะไรให้ข้าทำอีก" น้ำเสียงของเจ้ายักษ์ส่อเลศนัยว่ามันจะได้กินชายตัดฟืนเป็นอาหารแน่ๆ ชายตัดฟืนเริ่มทำตามแผนทันที

เขาสั่งให้ยักษ์พาตนไปยังต้นไม้สูงกลางป่า ณ ต้นไม้นั้นเขาสั่งให้เจ้ายักษ์ช่วยลิดกิ่ง ลิดใบออกจนหมด ต้นไม้สูงต้นนี้จึงดูเหมือนเสาโล้นๆ ต้นหนึ่ง "นับจากนี้ไป" ชายตัดฟืนกล่าว "เมื่อใดที่เจ้ายืนอยู่ที่โคนต้น งานของเจ้าคือให้ปีนขึ้นไปจนสุดปลายยอดไม้" เขาเว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าวต่อ "และเมื่อใดที่เจ้าอยู่ปลายยอดไม้ งานของเจ้าคือให้ปีนลงมายังโคนต้นไม้"

คำสั่งนี้ทำให้เจ้ายักษ์ทำงานเป็นวงจรอันไม่รู้จบ ผลก็คือเมื่อใดที่ชายตัดฟืนมีงานให้ทำ เขาก็เรียกเจ้ายักษ์มาใช้ ครั้นเมื่องานเสร็จสิ้นลงเขาก็ใช้ให้เจ้ายักษ์ไปปีนต้นไม้

ยักษ์วิเศษตนนี้ก็คือ ความคิดของมนุษย์นั่นเอง น้องๆ เชื่อไหมคะว่าความคิดของเราเป็นสิ่งที่มีความสามารถสูง เป็นสิ่งที่เร็วยิ่ง บ่อยครั้งที่เราพบว่าความคิดนี่แหละ กลับมาเล่นงานเราเสียเอง บางคนคิดมากจนบั่นทอนสุขภาพ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ผู้มีปัญญาย่อมรู้จักที่จะใช้ความคิดของตนเองให้เกิดประโยชน์ค่ะ


ผู้แต่ง                 :   พี่อ้อย

แหล่งที่มา           :    อุดมศานต์
                              ปีที่ 87 เดือน กุมภาพันธ์ 2550/2007

หมอนวิเศษ

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในประเทศจีนมีชายชาวนาคนหนึ่งชื่อ "อาเฉิน" กำลังนั่งกินอาหารอยู่ในโรงเตี๊ยม ก็ได้มีพ่อค้าเร่คนหนึ่งเดินมาทักทายเขาว่า "พ่อหนุ่ม ทำมาหากินเป็นอย่างไร?" "ไม่ไหวเลยครับ ทำงานเท่าไหร่ก็ยังจน" อาเฉินตอบ "พ่อหนุ่มไม่พอใจวิถีชีวิตของตนเองหรือ?" พ่อเฒ่าสอบถาม "จะให้ฉันพอใจได้อย่างไรในเมื่อฉันต้องทำงานหนักทั้งวัน ถ้าได้เป็นเศรษฐีฉันจึงจะพอใจ" อาเฉินกล่าว พ่อเฒ่านิ่งงันไม่พูดอะไร ก่อนจากกันพ่อเฒ่าได้ยื่นห่อผ้าในมือให้อาเฉิน และพูดขึ้นว่า "พ่อหนุ่ม ฉันต้องเดินไปหมู่บ้านข้างเคียง พรุ่งนี้เช้าจึงจะกลับ ฝากหมอนใบนี้ไว้ได้ไหม? หมอนใบนี้หนุนนอนสบายดี เธอจะใช้หมอนใบนี้หนุนหัวในคืนนี้ก็ได้" อาเฉินรับคำจะเก็บรักษาหมอนไว้ให้ ทั้งสองจึงแยกจากกัน

ในคืนนั้น อาเฉินใช้หมอนของพ่อเฒ่าหนุนนอน เมื่ออาเฉินตื่นขึ้นมาก็พบว่ามีแท่งเงิน แท่งทองเต็มไปหมด "รวยแล้ว ในที่สุดเราก็รวยแล้ว" อาเฉินตะโกนสุดเสียงด้วยความดีใจ "ฉันจะสร้างคฤหาสน์หลังงาม ฉันจะซื้อทุกอย่างที่ฉันต้องการ" อีกไม่นานคฤหาสน์ของเขาก็เสร็จ ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา อาเฉินเป็นมหาเศรษฐีไปแล้ว เขาไม่ปรารถนาจะลดตัวลงไปเสวนากับคนจน ดังนั้นเขาจึงปิดคฤหาสน์อาศัยอยู่ในนั้นตามลำพัง

อยู่มาไม่นานอาเฉินก็เบื่อหน่าย "ขาดอะไรไปสักอย่าง อ๋อรู้แล้ว สวนของฉันว่างเปล่านั่นเอง" เขาจึงสั่งให้คนงานหาดอกไม้หลากสีสันงดงามที่สุดเท่าที่จะหาได้ และต้นไม้ใหญ่มาปลูกไว้ในสวน ขุดสระเลี้ยงปลา แต่แล้วอาเฉินยังรู้สึกเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว "จะต้องขาดอะไรไปสักอย่าง อ๋อรู้แล้ว บ้านหลังนี้เงียบเกินไป" อาเฉินจึงว่าจ้างนักดนตรี นักเต้นรำมาขับกล่อมให้ความบันเทิง แต่แล้วต่อมาไม่นาน อาเฉินก็รู้สึกเบื่อกับการร้องรำ เขาจึงไล่นักดนตรี นักเต้นรำออกจากบ้านไป อาเฉินรู้สึกเหงาหงอยอ้างว้าง "อืม...สิ่งที่ฉันต้องการคือภรรยาสักคน...ใช่แล้ว" อาเฉินส่งคนรับใช้ไปป่าวประกาศกลางหมู่บ้าน หญิงใดที่ยังเป็นโสดขอให้มาชุมนุมที่หน้าคฤหาสน์ของเขาในเช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อให้เขาเลือกเป็นภรรยา แต่ไม่มีหญิงใดโผล่หน้ามาให้เห็นในเช้าวันถัดมา อาเฉินรู้สึกโกรธ "ฉันไม่เห็นต้องการเลย อยู่คนเดียวก็ได้" 

อยู่มาวันหนึ่ง อาเฉินตัดสินใจลงจากเขา อาเฉินนั่งเกี้ยวงดงาม มีคนรับใช้สี่คนหาม แต่อาเฉินต้องประหลาดใจเมื่อผู้คนในหมู่บ้าน ไม่มีใครสนใจเขาเลย เมื่อเขาผ่านโรงเตี๊ยมเก่าเขาได้ยินเสียงผู้คนทักทายกันสลับกับเสียงหัวเราะเป็นระยะ เขามองเห็นเพื่อนเก่าซดข้าวต้มร่วมกัน แม้คนเหล่านั้นจะยากไร้ แต่ก็มีความสุขยิ่ง

อาเฉินหวนกลับมายังคฤหาสน์อ้างว้าง นั่งครุ่นคิดอยู่เป็นนาน เขากลายเป็นมหาเศรษฐีแล้ว แต่ก็ไม่มีความสุข ชีวิตแสนสบายแต่อ้างว้าง อาเฉินอยากจะกลับไปเป็นชาวนาสามัญเช่นเดิม แล้วเขาก็เผลอหลับไป เมื่ออาเฉินลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่าตนเองอยู่ห้องเก่าซอมซ่อทุกอย่างอยู่ในสภาพเดิม อาเฉินเพิ่งรู้ว่าตัวเองฝันไป เขาจึงวิ่งออกจากกระท่อมหัวเราะร่าด้วยความยินดี อาเฉินร้องทัีกทายชาวนาที่เดินผ่าน เหมือนกับเพื่อนรักที่หายหน้าไปนาน ตอนสายของวันชายชราเจ้าของหมอนก็ได้มาหาอาเฉิน "เป็นอย่างไรพ่อหนุ่ม เมื่อคืนฝันดีหรือไม่" อาเฉินวิ่งกลับเข้าบ้าน หยิบเอาหมอนห่อผ้าให้เรียบร้อย ยื่นคืนให้เจ้าของ "ขอบพระคุณท่านเป็นอย่างมากที่ให้ยืมหมอนใบนี้ ฉันเพิ่งได้บทเรียนล้ำค่าของชีวิต... "เราควรพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี" อาเฉินหยิบจอบขึ้นพาดบ่า เดินผิวปากออกจากบ้านมุ่งหน้าไปยังท้องนา พ่อเฒ่าอมยิ้ม และออกเดินทางต่อไป


ผุ้แต่ง             :     พี่อ้อย

แหล่งที่มา       :       อุดมศานต์ 
                          ปีที่ 86 เดือน ธันวาคม 2549/2006