Sunday, June 27, 2010

นางนกไส้กับช้าง

อดีตกาลนานมาแล้ว ก่อนที่จะบังเกิดมีพระพุทธเจ้า ในอดีตชาติก่อนนั้นพระพุทธองค์ได้เกิดเป็นพญาช้างสาร มีเหล่าช้างมากมายเป็นบริวารอาศัยอยู่ในป่าหิมวันต์ และในครั้งนี้มีนางนกไส้ตัวหนึ่งทำรังวางไข่อยู่บนพื้นดิน ต่อมาไข่นั้นได้แตกออกกลายเป็นลูกนก 2 ตัว

วันหนึ่งพญาช้างสารได้พาบริวารเดินผ่านมา เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นสร้างความตกใจแก่นางนกไส้ยิ่งนัก ด้วยรังและลูกเล็กของนางนั้นอยู่ในเส้นทางที่ฝูงช้างจะเดินผ่าน นางจึงบินไปขอร้องอ้อนวอนต่อพญาช้างสาร

"ข้าแต่ท่านพญาช้างผู้ประเสริฐ ขอได้โปรดเมตตาพาบริวารเดินเลี่ยงไปยังเส้นทางอื่นเถิด ด้วยรังและลูกอ่อนของข้าพเจ้านั้นอยู่่ในทิศเส้นทางที่พวกท่านจะเดินทางผ่าน ลูกของข้าพเจ้านั้นก็ยังเล็กยิ่งนักไม่สามารถที่จะบินหลีกหนีไปได้ ขอท่านได้โปรดเมตตาแก่ข้าพเจ้าและลูกด้วยเถิด"

พญาช้างได้ฟังก็เกิดความเมตตาแก่นางนกไส้ จึงสั่งให้นางบินไปกางปีกกกลูกเล็กเอาไว้ แล้วตนก็เดินนำหน้าช้างบริวารไปยืนคร่อมรังนก มิให้ช้างตัวใดเดินมาเหยียบได้ เมื่อบริวารผ่านไปหมดแล้วพญาช้างจึงเดินตามไปทีหลัง และได้หันมากล่าวแก่นางนกไส้ว่า

"ดูก่อนนางนกไส้ เจ้าและลูกนั้นยังหาปลอดภัยไม่ ด้วยยังมีช้างโทนตัวหนึ่งซึ่งมิได้เชื่อฟังและอยู่ในโอวาทที่เราจะห้ามปรามได้กำลังตามมา นางจงรีบไปใช้ความพยายามอ้อนวอนช้างโทนตัวนั้นให้ดีเถิด"

นางนกไส้กล่าวขอบคุึณพญาช้างสาร แล้วรีบบินไปดักหน้าช้างโทนตัวนั้นซึ่งกำลังติดตามมา พลางประนมปีกขึ้นกล่าววิงวอน

"ข้าแต่ท่านช้างโทนเจ้าขา รังและลูกอ่อนซึ่งยังไร้ขนมิสามารถจะบินได้ของข้าพเจ้านั้นอยู่ในเส้นทางที่ท่านจะต้องเดินผ่่าน ขอได้โปรดกรุณาต่อสัตว์ผู้ยากตัวเล็กอย่างข้าและลูกๆ เดินเลี่ยงไปยังเส้นทางอื่นเถิด"

ช้างโทนได้ฟังนางนกไส้ขอกลับตวาดไปอย่างไร้เมตตา

"ชิชะนางนก เจ้าเป็นแค่สัตว์ตัวเล็กๆ ไร้กำลัง บังอาจถือดีอย่างไรจึงมาสั่งข้า แล้วเหตุใดข้าจะต้องหลบ ก็ในเมื่อรังและลูกของเจ้านั้น อยากมาอยู่ระหว่างทางเดินของข้าเอง"

ว่าแล้วช้างโทนใจร้ายตัวนั้นก็เดินตรงเข้าเหยียบรังและลูกนกทั้ง 2 ตัวแหลกละเอียดเป็นจุล นางนกไส้เห็นดังนั้นก็หวีดร้องราวกับหัวใจจะแหลกสลายตามไปด้วย

"ดูรึเจ้าช้างโทน ถือตนว่าตัวโตมีกำลังมาก แต่กลับข่มเหงต่อสัตว์ผู้ด้อยกำลังกว่าอย่างไร้เมตตา เจ้าจะต้องได้รับการตอบแทนต่อผลกรรมที่ทำในครั้งนี้อย่างสาสม และได้รู้ว่ากำลังปัญญานั้นเหนือกว่ากำลังกายแค่ไหน"

แต่แทนที่ช้างโทนจะสำนึก กลับพูดจาโอหังดูถูกนางนกต่อไปอีกว่า

"ชิชะนางนกไส้ รังและลูกของเจ้าพึ่งถูกข้าเหยียบป่นไปยังมิเจีัยมตัวมากล่าวสอน ข้าก็อยากรู้นักว่าสัตว์ตัวเล็กด้อยกำลังอย่างเจ้า จะใช้ปัญญาอย่างใดมาหาญสู้กับกำลังอันมหาศาลของข้าได้"

ว่าแล้วช้างโทนใจร้ายก็หัวเราะลั่นเดินจากไป

นางนกไส้คับแค้นใจยิ่งนัก จึงบินไปหากา, แมลงวันหัวเขียวและกบ ซึ่งเป็นสหาย พลางเล่าความแค้นให้ฟัง สัตว์ทั้ง 3 ได้ฟังก็เจ็บแค้นแทนเพื่้อนยิ่งนัก รับอาสาจะช่วยแก้แค้นให้

กาบินไปเกาะกิ่งไม้ดักหน้าช้างโทนซึ่งเดินผ่านมา เมื่อได้โอกาสก็บินตรงไปใช้ปากที่แข็งและแหลมโขกจิกลูกตาทั้งสองข้างของช้างโทนจนแตก ส่งเสียงร้องลั่นป่าด้วยความเจ็บปวด

แมลงวันหัวเขียวซึ่งบินตามมาฉวยโอกาสบินตรงไปหยอดไข่ใส่ตาที่แตกทั้งสองข้างทันที และไข่นั้นก็กลายเป็นตัวหนอนเจาะไชตาช้างโทนจนเน่าถลน ได้รับความทุกข์ทรมานเพิ่มขึ้นไปอีก

ช้างโทนซึ่งกลายเป็นช้างตาบอด ได้ซัดเซเร่ร่อนไปในป่าด้วยความยากลำบาก จนเหน็ดเหนื่อยและเกิดความกระหายน้ำยิ่งนัก เหล่ากบจึงพากันขึ้นไปบนเข่าและส่งเสียงร้องลั่นตรงบริเวณหน้าผา ช้างโทนได้ยินเสียงกบร้องก็สำคัญผิดคิดว่าบริเวณนั้นต้องเป็นหนองน้ำแน่ๆ จึงตามเสียงไป และก็พลัดตกหน้าผาถึงแก่ความตายในที่สุด

เมื่อแก้แค้นช้างโทนได้แล้ว สัตว์ทั้งหลายต่้างก็แยกย้ายกลับไปยังถิ่นที่อยู่ของตน นางนกไส้กล่าวขอบคุณเหล่าสหายก่อนที่จะบินจากไปหาที่สร้างรังใหม่

แหล่งข้อมูลอ้างอิง
เอกสารประกอบส่งเสริมการอ่าน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
โรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม

Saturday, June 26, 2010

นิทานบ้านไร่ชายทุ่ง ตอน นับหนึ่งถึงสิบ




จู่ๆ บรรดาสัตว์ต่างๆ ที่หมู่บ้านชายทุ่งก็เกิดมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งถึงขั้นลงไม้ลงมือกับเหล่าสัตว์ในหมู่บ้านจิ๊งโกร่งซึ่งอยู่ใกล้ๆ เจ้ามอซึ่งเป็นลูกพี่จึงต้องทำเป็นตัวอย่างที่ดีคอยตักเตือนห้ามปรามพวกของตนให้ใจเย็น อย่าอารมณ์ร้อนไปตอบโต้ แต่แล้ววันหนึ่ง เจ้าโต้งก็เดินมาด้วยสภาพปูดจนเกือบห้อย เจ้ามอจึงถามขึ้น

 "นี่ไปชกต่อยกับพวกหมู่้บ้านจิ๊งโกร่งมาอีกแล้วเหรอเจ้าโต้ง"

เจ้าโต้งยืนกัดฟันนิ่งไม่ตอบ เจ้ามอจึงพูดต่อ

"ฉันเตือนแล้วไม่ใช่เหรอเจ้าโต้ง ว่าให้รู้จักควบคุมอารมณ์ มีอะไรก็ให้นับหนึ่งถึงสิบก่อน จำไม่ได้เหรอ"

คราวนี้เจ้าโต้งกลับตะโกนใส่เจ้ามอเสียงดัง

"จำได้ซี ทำไมจะจำไม่ได้ แต่พวกหมู่บ้านจิ๊งโกร่งเขาสอนให้นับแค่ห้า ฉันก็เลยถูกต่อยก่อนจนตาปูดนี่ไง"


แหล่งที่มา  :    เอกสารส่งเสริมการอ่าน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
                       โรงเีรียนอัสสัมชัญแผนกประถม

เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/397442735847328296/

กระต่ายน้อยกับต้นไม้


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกระต่ายน้อยตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ บนท้่องฟ้า บ้านของกระต่ายน้อยปกคลุมด้วยกองฟางที่อ่อนนุ่ม ทุกๆ เช้ากระต่ายน้อยจะโผล่ออกมาทักทายหนูแก้ว แล้ววันนี้ก็เช่นเคย กระต่ายน้อยร้องทัก


"สวัสดีจ้ะหนูแก้ว กำลังทำอะไรอยู่จ้ะ"

"หนูแก้วกำลังวิ่งไล่จับแมลงอยู่จัะ กระต่ายน้อยมาจับแมลงกับหนูแก้วไหมจ้ะ"

"ไม่หรอกจ้ะ กระต่ายน้อยขอสมัครเป็นคนดูดีกว่า"

เช้าวันหนึ่ง หนูแก้วนั่งหน้าเศร้า ไม่ไปวิ่งเล่นเหมือนเคย กระ่ต่ายน้อยโผล่หน้าออกมาดู เห็นผิดสังเกตจึงร้องทักว่า

"หนูแก้วเป็นอะไรไปจ้ะ"

หนูแก้วพูดว่า "หนูแก้วไม่สบายใจเรื่องต้่นไม้ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ต้นไม้เกิดเหี่ยวเฉาตายไปเกือบหมดป่า"

กระต่ายน้อยได้ยินจึงตอบว่า "เดี๋ยวกระต่ายน้อยจะช่วยหนูแก้ว รออยู่ตรงนี้นะ"

กระต่ายน้อยกระโดดไปบนบ้านบนท้องฟ้า หยิบต้นไม้วิเศษมาให้หนูแก้วหนึ่งต้น และพูดว่า "หนูแก้วเอาต้นไม้วิเศษนี้ไปปลูกในป่านะจ้ะ ต้นไม้วิเศษหนึ่งต้นจะให้กำเนิดต้นไม้เพิ่มใหม่อีกหนึ่งร้อยต้น และต่อไปนี้กระต่ายน้อยจะเอาต้นไม้วิเศษมาให้หนูแก้วทุกๆ วัน วันละต้นจ้ะ"

"หนูแก้วจะรอกระต่ายน้อยตรงนี้ทุกวันจ้ะ ขอบคุณมากสำหรับต้นไม้วิเศษ"

ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ในป่าแห่งนี้ก็มีต้นไม้เขียวชะอุ่มขึ้นมากมาย กระต่ายน้อยและหนูแก้วได้เล่นกันอย่างมีความสุขทุกวัน


แหล่งข้อมูลอ้างอิง
เอกสารส่งเสริมการอ่าน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
โรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม

แม่นกผู้กล้าหาญ

ชีวิตในป่าเต็มไปด้วยภยันอันตรายมากมายมหาศาล แม่นกโพระดกจึงตัดสินใจเลือกใช้คบไม้ที่สูงชันเป็นสถานที่สำหรับทำรังและวางไข่เพื่อให้กำเนิดลูกน้อย "รังของเราอยู่สูงจากพื้นดินมาก แถมยังมีใบไม้และเถาวัลย์กำบังไว้ คงไม่มีใครมาเห็นแน่"

แม่นกเฝ้ากกไข่อยู่ในรังจนกระทั่งลูกนกฟักออกมาจากไข่ แต่ละตัวล้วนมีหน้าตาน่ารักน่าชัง เมื่อลูกนกฟักออกมาแล้ว ต่างพากันร้องจิ๊บๆ ด้วยความหิว เสียงร้องคร่ำครวญของลูกๆ ทำให้แม่นกต้องผละจากรังออกไปหาอาหาร ไม่อาจเฝ้าดูแลรังได้ตลอดเวลาดังเดิม "โอ๋....อย่าร้องเอ็ดตะโรกันไปสิจ๊ะลูก ในป่านี้มีภัยอยู่รอบด้าน หากใครรู้ว่า เราซ่อนตัวอยู่ตรงนี้อาจเป็นอันตรายได้ ...อยู่กันดีๆ นะจ๊ะ แม่จะไปหาธัญญาหารและผลไม้มาให้ แล้วจะรีบกลับมา" แม่นกสั่งความก่อนจะเหิรบินจากไปด้วยความเป็นห่วง แม้ว่าจะได้รับคำเตือนแล้ว แต่ลูกนกยังเล็กนัก และไม่เคยเผชิญกับอันตราย พวกมันจึงไม่คิดถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น ยังคงพากันส่งเสียงเย้าเหย่กันอย่างสนุกสนาน

เสียงร้องจิ๊บๆ ของลูกนกดังไปถึงสัตว์ร้ายตัวหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เจ้างูเหลือมนั่นเอง... "เอ๊ะ!....นั่นเสียงลูกนกที่ไหนนะ? แหม.....คิดถึงลูกนกกระดูกอ่อนๆ แล้วน้ำลายไหล" เจ้าสัตว์ร้ายรีบเลื้อยลัดเลาะไปยังต้นกำเนิดเสียงและเลื้อยพันต้นไม้ขึ้นไปถึงรังของลูกนกทันที !  เมื่อลูกนกมองเห็นงูเหลือม ต่างก็ตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน และพากันระเบิดเีสียงร้องเซ็งแซ่ โชคดีที่แม่นกยังไม่ได้บินไปไกลนัก เมื่อได้ยินเสียงตื่นตระหนกของลูกๆ ดังแว่วมา จึงรีบบินกลับรังทันที

เมื่อเห็นงูร้ายตัวโตมโหฬารกำลังจ้องมองอย่างถมึงทึงหมายจะสังหารลูกตัวน้อย แม่นกก็ตกใจแทบสิ้นสติสัมปชัญญะ แต่ด้วยวิญญาณความเป็นแม่ ซึ่งรักและเป็นห่วงลูก ทำให้แม่นกตัดสินใจบินตรงดิ่งเข้าไปต่อกรกับงูเหลือมทันที แม่นกรวบรวมพละกำลังที่มี ถาโถมเข้าจิกตีงูร้ายอย่างหนักหน่วงโดยไม่คิดชีวิต ยังดีที่งูตัวนี้ไม่สันทัดการต่อสู้บนต้นไม้นัก เมื่อเห็นท่าว่าสู้ไม่ได้ มันจึงตัดสินใจล่าถอยไป ทั้งแม่นกและลูกน้อยจึงปลอดภัยในที่สุด

บทเรียนครั้งนี้ทำให้ลูกนกรู้ซึ้งถึงอันตรายในป่าแห่งนี้มากขึ้นและตั้งใจว่า จะใส่ใจเชื่อฟังคำตักเตือนของแม่อย่างเคร่งครัด


แหล่งข้อมูล :  เอกสารส่งเสริมการอ่าน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
                    โรงเีรียนอัสสัมชัญแผนกประถม

Sunday, June 13, 2010

ชายขี้เหนียว

ชายขี้เหนียวคนหนึ่งขายทรัพย์สินในบ้านของตัวเองจนหมดเพื่อแลกเป็นทองคำแท่ง เขานำมัีนไปซ่อนไว้ที่กำแพง พอว่างเมื่อไรก็จะเดินไปดูว่ายังอยู่ครบหรือไม่ คนงานที่อยู่ละแวกนั้นเห็นเข้าก็สงสัยพฤติกรรมของเขามาก จึงคอยจับตาดูตลอด วันหนึ่งเมื่อคนงานคนนั้นรู้ความจริง ก็แอบขโมยทองคำนั้นไป

เมื่ีอชายขึ้เหนียวมาดูอีกครั้งก็พบว่าทองคำแท่งหายไปแล้ว จึงได้แต่ทึ้งผมตัวเองด้วยความเสียดายและตีอกชกหัว ร่ำไห้ราวกับจะเป็นจะตาย เมื่อมีคนผ่านมาเห็นและรู้เรื่องก็พูดว่า

"เพื่อนเอ๋ย อย่าเสียใจไปเลย ทองคำเป็นแค่สิ่งที่เจ้าซื้อมา ไม่ใช่สมบติที่ควรจะมี ลองหาก้อนหินมาวางไว้ในโพรงนี้แทน แล้วคิดว่าเป็นทองคำแท่ง เจ้าก็จะมีความสุข ทำอย่างนี้ก็ไม่ต่างจากตอนที่ทองคำยังอยู่ เพราะถึงมีทองคำ เจ้าก็ไม่ได้ใช้มันอยู่ดี"

นิทานเรื่องนี้สอนว่า "แม้จะมีทรัพย์สินมากมายเพียงใด แต่ถ้าไม่ได้ใช้ก็เหมือนกับไม่เคยได้ครอบครอง"

เมล็ดข้าว

ฉันเกิดมาในครอบครัวขอทาน ทุกวันฉันจะเดินตามท้องถนนเพื่อขอเศษเงินจากผู้ใหญ่ วันหนึ่ง ฉันเห็นเธอนั่งอยู่ในรถม้าทองคำ ฉันคิดในใจว่านี่เป็นพระราชาองค์ไหนกันนะ และเมื่อโตขึ้น ความฝันของฉันก็ติดตามมาด้วย ฉันเฝ้าแต่ฝันว่า คืนวันแห่งความทุกข์ยากใกล้จะจบลงแล้ว ฉันคงจะได้รับความสุขสบายเหมือนฝนที่ตกลงมาจากฟากฟ้า และตั้งตารอวันที่เม็ดทรายกลายเป็นเงินทอง แล้วอยู่ๆ ก็มีรถม้ามาจอดอยู่ข้างฉัน

เธอมองมาทางฉันแล้วส่งยิ้มให้ ฉันคิดว่าโชคลาภได้มาถึงแล้ว แต่ทันใดนั้นเอง เธอก็ยื่นมือออกมาแล้วพูดว่า "เธอจะให้อะไรแก่ฉันบ้าง"

นี่มันอะไรกัน เธอกลับมาขอสิ่งของจากขอทาน ฉันได้แต่ยืนงง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จึงเอามือล้วงเข้าไปในย่าม หาเมล็ดข้าวที่เล็กที่สุดแล้วมอบให้เธอ

เมื่อเธอจากไป สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ฉันพบทองคำขนาดเท่าเมล็ดข้าวที่ให้ไป ฉันร้องไห้พร้อมกับคิดว่า เหตุใดฉันจึงคิดกับเธอเช่นนั้น


ข้อมูลอ้างอิง


ผู้แต่ง :  รพินทรนาถ ฐากูร